ในอเมริกา การที่เพลงจากวงร๊อคจะติดอันดับหนึ่งชาร์ต Billboard Hot 100 นั้นเป็นเรื่องที่ยากเอาเรื่อง ยิ่งวงแนวนอกกระแสหลักยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก แต่วงดนตรีหน้าใหม่อย่าง fun. กลับพาผลงานของพวกเขาขึ้นไปยืนบนบนบัลลังก์อันดับหนึ่งได้อย่างสง่างาม สร้างประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งให้กับวงการดนตรี และให้ความหวังว่า อย่างน้อยชาร์ตก็ไม่ได้ถูกปกครองด้วยศิลปินไร้สมองที่ทำเพลงด้วย Auto-tuneเป็นหลัก
fun. (ของแท้ต้องตัวเล็กหมดและมีจุด) เกิดขึ้นเมื่อ วงอินดี้ร๊อค The Format แยกตัวลงในปี 2008 Nate Reuss หัวหน้าวง (เนท ร้องนำ) จึงหันไปจับมือกับ Andrew Dost (แอนดริว สารพัดเครื่องดนตรี) จากวง Anathallo ซึ่งเคยออกทัวร์ร่วมกับ The Format ในฐานะนักดนตรีเสริม และ Jack Antonoff จากวง Steel Train ซึ่งทั้งสามคนต่างชื่นชอบในเพลงป๊อปแบบคลาสสิกเหมือนกัน จนร่วมกันตั้งเป็นวง fun. โดยมีฐานอยู่ที่ New Jerseyและพวกเขาออกเดโมแรก Benson Hedges ซึ่งได้เปิดให้โหลดฟรีใน Spin นิตยสารเพลงหัวก้าวหน้าของอเมริกา ก่อนที่จะไปดัง Steven McDonald อดีตโปรดิวเซอร์ของ the Format มาร่วมงานด้วย ซึ่งตัว Steven เองก็ตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานโปรเจ็คท์เพลงคลาสสิกป๊อปที่แหวกไปจากวงรุ่นราวคราวเดียวกันนี้
พวกเขาเริ่มทำเพลง และได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัด Fueled By Ramen ของสมาชิกวง Less Than Jake บ้านของวงที่เติบตามาพร้อมกับกระแสแนว Emo รังของวงอย่าง Panic at the Disco และ Paramore รวมไปถึงวงรักของผมอย่าง The Academy Is… ที่พึ่งแตกไป พวกเขาทำงานเพลงและปล่อยเพลงให้โหลดออนไลน์ และไปร่วมทัวร์กับวงร๊อคที่เน้นเสียงเปียโนเป็นหลักคล้ายๆกันอย่าง Jack’s Mannequin และวงร่วมค่ายที่โด่งดังขึ้นมาอย่าง Paramore
และในปีต่อมา 2009 งานชุดแรกของพวกเขาก็สำเร็จออกมาเป็นอัลบั้มชื่อ Aim and Ignite ซึ่งกลายเป็นงานเพลงป๊อปที่แหวกแนวต่างจากคนอื่น พวกเขาไม่ได้ทำเพลงป๊อปที่ไร้สมองอย่างศิลปินป๊อปทั่วไป แต่พวกเขาหยิบเอาส่วนดีในความเป็นป๊อปของวงร๊อคในอดีตอย่าง Queen หรือวง AOR จากยุค 70 และ 80 กลายเป็นงานเพลงป๊อปที่เต็มไปด้วยเสียงประสาน และ ทำนองที่อลังการพร้อมที่จะยึดครองสเตเดียมใหญ่ๆได้ คล้ายๆกับอัลบั้มที่ 2 ของ Panic at the Disco ที่ถูกปรับให้เสียงเปียโนเด่นขึ้นมา และเน้นการประสานเสียงให้มากขึ้น ลองไปฟังเพลงอย่าง Benson Hedges ที่ช่างติดหูและดำเนินด้วยเปียโนอย่างงดงาม บวกกับเสียงประสาน กับการเปลี่ยนจังหวะขึ้นลง จนทำให้เราต้องแอบนึกถึงวง Queen จริงๆ และดีใจที่มีวงที่ทำเพลงแบบนี้ออกมาให้ได้สัมผัสกันในยุคนี้ ส่วน At least I am not as sad (as I used to be) ซิงเกิ้ลนำ ก็เป็นเพลงป๊อปที่จังหวะโครมครามไม่เบา ส่วน The Gambler ก็เป็นเปียโนบัลลาดที่งดงามเสียจริงๆ เช่นเดียวกับ Take Your Time ที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงความทะเยอทะยานของพวกเขาได้เป็นอย่างดี เพราะมันคือเพลงที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มเวทีคอนเสิร์ตได้อย่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆ
Aim and Ignite เปิดตัวได้ไม่เลวในฐานะวงหน้าใหม่ จัดว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ในตอนนั้นยังไม่มีใครทราบว่าพวกเขาจะกลายเป็นวงที่ครองอันดับหนึ่งของชารต์บิลบอร์ดได้อย่างงดงาม
พวกเขากลับเข้าห้องอัดเพื่อเตรียมงานเพลงชุดที่ 2 ซึ่งเพลงแรกที่พวกเขาแต่งและบันทึกเสียงก็คือ We Are Young ซึ่งพวกเขาได้ร่วมงานกับศิลปินสาวผิวสีที่มาแรงมากๆอย่าง Janelle Monae ซึ่งมีผลงานเปิดตัวชั้นเลิศในปี 2010 มันเป็นงานเพลงที่สมเพลงอินดี้ร๊อคเข้ากับพาวเวอร์บัลลาดและสเตเดียมร๊อค ซึ่งไม่ว่าใครฟังแล้วก็คงอดไม่ได้ที่จะแหกปากคลอตามไปด้วย โดยเฉพาะท่อนคอรัสที่ช่างทะเยอทะยานเป็นอย่างมากกว่า
Tonight we are young, so let’s set the world on fire. We can burn brighter than the sun. ที่เล่นเอาทำให้เราปาดน้ำตาให้กับความทะเยอทะยานของวัยเยาว์เป็นอย่างยิ่ง จนไม่แปลกอะไรมันจะกลายเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มที่ 2 ซึ่งทะยานขึ้นไปถึงอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดที่มักจะถูกครองโดยศิลปินป๊อปทั่วไปซะมากกว่า และมันก็จะวางแนวทางให้กับตัวอัลบั้มที่จะตามมาอีกด้วย
การดึงตัว Jeff Bhasker โปรดิวเซอร์ร่วมของอัลบั้ม My Beautiful Dark Twisted Fantasy ของ Kanye West ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ส่งผลดีต่องานชุดที่สอง พวกเขาเลือกตัวเจฟมาเพราะเมื่อได้ฟังงานของ Kanye แล้ว พวกเขาก็ทึ่งว่า พวกเขาสามารถทำงานเพลงที่อลังการระดับคับสเตเดียมได้โดยรักษาแนวทางของตัวเองไว้ได้ และก็เป็นเจฟนี่เองที่นำเอาอิทธิพลของดนตรีผิวสีเข้ามในเพลงของพวกเขาอีกด้วย
หลังจากการประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงของ We Are Young ที่ไม่เพียงครองอันดับ 1 แต่ยังถูกนำไปใช้ประกอบรายการทีวี ละครดังอย่าง Glee และโฆษณาต่างๆ อัลบั้มที่สองที่ทุกคนเฝ้ารออย่าง Some Night ก็มาถึงในต้นปี 2012 ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลยแม้แต่น้อย Some Night เป็นงานที่เติบโตจากอัลบั้มชุดแรกมากและซาวด์ของเพลงก็เติบใหญ่ขึ้นมาระดับคับสเตเดียมมหึมาเลยทีเดียว
พวกเขาเปิดอัลบั้มด้วยเพลง Some Night (Intro) ที่เป็นเพลงประสานเสียงคลอเปียโนที่ไล่เรียงโทนเพลงแบบที่วงควีนถนัด แถมอัดคำหยาบออกมาได้เนียนแบบเราไม่รู้สึกว่ามันหยาบเลย ก่อนที่จะเข้าเพลง Some Night ที่เริ่มต้นด้วยเสียงกอสเปลแบบในโบสถ์คนผิวดำก่อนที่จะตามมาด้วยจังหวะที่โครมครามราวกับการอพยพของฝูงสัตว์ในแอฟริกา เป็นเพลงที่ชวนให้ฮึกเหิมจนเราอยากไปพวกเขาเล่นในคอนเสิร์ตจริง ในขณะที่เพลง It Gets Better ก็กลับมาพร้อมกีตาร์ดุๆและทำให้สัมผัสได้ถึงรากความเป็นอินดี้ของพวกเขาได้ ส่วนเพลง All Alone ก็ยังโครมครามอยู่แต่ก็มีกลิ่นของดนตรีเรกเก้อ่อนๆเจือเข้ามาด้วย ในขณะที่ All Alright ก็ผสมกลิ่นของดนตรีผิวสีเข้ามากับจังหวะที่ทำให้เรานึกถึงงานเพลง Kanye West ไปได้ ขณะที่ Carry On ก็เป็นเพลงที่ชวนให้กำลังใจเราเป็นอย่างดี และปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลง Stars (ถ้าไม่นับเพลงโบนัส) เพลงป๊อปที่ฟังสบายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อย
Some Night ทำให้ผมหันมามอง fun. ใหม่ เพราะนึกไม่ถึงว่าหลังจากซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น พวกเขาจะสามารถสร้างงานที่ตอบสนองแรงคาดหวังได้ดีขนาดนี้เลย
1 comment:
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ ชอบวงนี้มากๆ ;)
Post a Comment