นานๆผมจะดูหนังไทยทีนะครับ ยิ่งดูในโรงนี่ ยิ่งนานมาก จนจำไม่ได้ว่าเรื่องสุดท้ายที่ดูคือเรื่องไหน สงสัยจะเป็น เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แล้วก็เฟลมากจนเล่นเอาขี้เกียจไปดูหนังไทยในโรงอีกเลย แต่ว่าครั้งนี้ ไปดูแล้วประทับใจจนต้องอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง ตอนที่หนังสือพิมพ์วางแผงไม่รู้ว่าเรื่อง ตั้งวง จะยืนโรงอยู่กี่รอบกับ อาจจะไม่เหลือแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อยากเล่าครับ ต่อให้ไม่ทันยุค เชยแค่ไหนก็ตามที เพราะว่านี่คือหนังไทยที่เด่นที่สุดเท่าที่ผมได้ดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียวครับ
หลังจากเข้าฉายเมื่อสัปดาห์ก่อน และได้รับคำชมจากหลายๆคนที่ไปดูรอบสื่อมา เลยทำให้ผมครั่นเนื้อครั่นตัว อยากจะไปดูหนัง ผลงานของพี่คงเดชแห่งวงสี่เต่าเธอขึ้นมามากๆ เพราะได้รับคำชมเยอะเหลือเกิน แถมตัวโปสเตอร์ก็น่าสนใจ เพราะนอกจากเจ้าเด็ก เกรียนสี่คน จะมาใส่ชุดไทยตั้งท่ารำ หรือที่เรียกว่า ตั้งวง (ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้จัก) เตรียมรำแก้บน ทั้งที่ไม่เข้ากับหน้า แถมโลโก้ชื่อเรื่องก็เหมือนกับหลุดมาจากขบวนการ์ซูเปอร์เซนไตของญี่ปุ่น ดูแล้วกวนแปลกๆดี
และเมื่อได้ไปดูก็สมใจครับ เปิดเรื่องได้น่าสนใจมาก เล่าเรื่องตัวละครสี่ตัว เด็กเรียนสองคนที่คิดว่าตัวเองแพ้ตอบปัญหาวิทยาศาสตร์เพราะคู่แข่งมีเครื่องรางทีเด็ด หนุ่มน้อยมาดเด็กแว้นนักเต้นคัฟเวอร์เกาหลีที่กลัวแฟนนอกใจ และเด็กนักปิงปองที่บ้านจนพ่อเป็นเสื้อแดงรากหญ้าไปชุมนุมทุกวัน เขาอยากได้ทุนนักกีฬาเพื่อที่จะสบายมากขึ้น และตามที่เขียนครับ เรื่องนี้พื้นเรื่องอยู่ช่วงเดือนพฤษภาคมของปี53ที่การชุมนุมของนปช.กำลังดุ เดือด เด็กที่สี่คนผ่านปัญหาของตัวเองและทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบนบาน สานกล่าว ทำให้ต้องแก้บนทั้งๆที่ไม่ค่อยอยากทำ
ตามที่พูดไปครับ เมื่อเทียบตัวละครกับซีรีย์ดังอย่างฮอร์โมนที่เพิ่งจบไป แม้จะเป็นเนื้อเรื่องของเด็กวัยรุ่นมัธยมเหมือนกัน แต่ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวครับ ในซีรีย์ นักเรียนแต่ละคนต่างหล่อสวย มาจากครอบครัวดีๆ แต่ใน ตั้งวง เด็กแต่ละคน คือเด็กที่เราพบได้จริงๆรอบตัวเรา ในรอบตัวเรา มี ยอง มี เจ มี เอ็ม มี เบส อยู่เสมอ ลองนึกย้อนไปสมัยมัธยมของตัวเองสิครับ แล้วยิ่งน้องๆแต่ละคนไม่ใช่นักแสดงดังอะไร ทำให้การสวมบทเนียนมากขึ้น แม้บทพูดบางบทจะดูเหมือนจับยัดเข้าปากนักแสดงไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ออกมาดูไม่ติดขัดมาก ไม่ดูกระแดะเกินไป
ดูจากโลโก้ที่เหมือนขบวนการฮีโร่ญี่ปุ่น ตามด้วยเนื้อเรื่องของการจับผลัดจับผลูว่าแต่ละคนต้องไปแก้บนโดยไม่ได้ตั้งใจ แถมแก้บนด้วยการรำแบบแต่งครบเครื่อง ซึ่งสำหรับเด็กมัธยมก็เป็นเรื่องน่าอายและจะโดนล้อแน่นอน จนทำให้ต้องนึกไปถึง The Full Monty ผลงานจากอังกฤษชื่อดัง หรืออีกเรื่องก็ Sumo Do, Sumo Don’t ของญี่ปุ่น (ไม่ค่อยอยากพูดถึง Water Boys เพราะมองว่าเหมือนเรื่องแรกมากไป) ซึ่งในเรื่องก็เล่นปล่อยมุขแบบไม่ยั้ง แต่ไม่ได้เป็นมุขตลกแบบเล่นกับวลีเจ๋งๆฮาๆแบบที่หนังตลกบ้านเราชอบทำ แต่มันเล่นกับความขัดแย้งกันที่แล้วรู้สึกตลกดี
ความขัดแย้งที่ว่าก็อย่างเช่น ตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ แต่ไปบนบานสานกล่าว สาวรำไทยคนสวยกลับเป็นกระเทยแปลงเพศ เด็กมาดแว้นต์แต่เต้นเกาหลี อาจารย์สุดเฮี้ยบกับอาชีพเสริมที่ไม่น่าเชื่อ พ่อแม่ที่เหมือนจะเป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็เปลี่ยนท่าทีเมื่อเป็นเรื่องตัวเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้เล่นกับความเป็น “ไทยๆ” ออกมาได้อย่างเฉียบคมมาก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนังที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม เพราะมันไม่ใช่ไทยเดิม แบบรำสวย ศิลปะไทยเดิม วิถีไทย แต่มันเป็นชีวิตเด็กวัยรุ่นธรรมดาตามแฟลตดินแดง พยายามจะรำไทยแก้บน (ซึ่งก็อยากรู้อีกว่า รำแก้บนนี่นับเป็นวัฒนธรรมไทยเดิมมั้ย) เพราะความจำเป็น แต่ก็ยังต้องการเสพสิ่งต่างๆจากประเทศอื่น เป็นความไม่เข้ากัน ลักลั่น เป็น ไทยๆ แบบที่เราเห็นได้รอบตัว คล้ายกับในหนังสือ Very Thai อย่างเสาโรมันในบ้านทรงไทย (เห็นได้ยุคก่อนฟองสบู่แตก)
มุขตลกต่างๆถูกยิงออกมาไม่ยั้ง จนเราคิดว่า ไอ้สี่ตัวนี่มันต้องร่วมมือกัน ทำภารกิจนี้สำเร็จ เหมือนกับในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ไอ้เจชอบอ่าน แต่หลังจากผ่านสถานการณ์ที่เคร่งเครียด บีบตัวละครจนกดดันหนทางของแต่ละคน พร้อมทั้งซีเควนซ์น่าประทับใจต่างๆที่สานเข้ากับสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้น เรื่องกับไม่ได้จบแบบสรุปให้เราได้แฮปปี้ครับ แต่กลับทิ้งปลายเปิดไว้แบบค้างๆคาๆ จนบางคนแทบไม่เชื่อตอนเจ้าหน้าที่โรงประกาศทางออกโรงหนัง แต่ไอ้การจบแบบนี้ล่ะครับที่ทรงพลังมากๆ คือ เราต้องไปคิดต่อเอง แถมโมโนลอกสุดท้ายของ ยอง เด็กแว่นเนิร์ด ผู้ที่ถือว่าฐานะพร้อมที่สุดในกลุ่ม จะว่าเป็นอำมาตย์ก็ได้ แถมเขายังเป็นคนแรกที่ ตั้งวง หรือทำท่ารำได้ เขารู้ว่า เกมนี้ต้องเล่นอย่างไร และยิงคำถามมและทิ้งประเด็นที่แสบที่สุดกับพวกเรา จนเหมือนกับโดนคนวิ่งเอาไม้หน้าสามมาทุบแล้วหนีไปให้เรางง หนังเล่นกับประเด็นความหมายของ ชาติ เอกราช ความสัมพันธ์ หน้าที่ แถมมีประเด็นคนต่างชาติออกมาให้สะกิดใจอีกด้วย
แม้จะไม่ค่อยได้ดูหนังไทย แต่ยอมรับว่า ตั้งวง เป็นหนังไทยที่เด่นที่สุดเท่าที่ผมได้ชมมาในช่วงหลังๆ ทั้งความฮา แต่กลับจิกกัดสังคมได้อย่างแสบสันต์ แถมยังทิ้งปมให้เราได้คิดต่อ ขนาดที่ดูจบไปหลายวันยังติดอยู่ในสมองต่อเลย ขอยอมรับและยกย่องทีมงานทุกท่านจริงๆครับ
No comments:
Post a Comment