สิ่งนึงที่ทำให้เพลิดเพลินในการฟังเพลงคือการเสพเนื้อเพลงนะครับ ซึ่งแนวเพลงแต่ละแนวก็มักจะมีเนื้อเพลงแตกต่างกันไปตามโทนเพลง ไม่ว่าจะเป็นร๊อคอกหัก หรือถ้าเป็นยุคไซคีเดคลิกก็มันจะเพ้อๆล่องลอย เพลงเพื่อชีวิต แอนตี้สังคม ไปจนกระทั่งเพลงหาเรื่องต่อยกันอย่างฮิพฮอพ การเสพเนื้อเพลงนี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งครับ แต่กับแนวเพลงเต้นรำนี่ส่วนใหญ่เนื้อเพลงจะไม่ค่อยมีอะไรมาก แหม่ ก็คนมันอยากเต้น เน้นจังหวะไว้ก่อน จนมีเพลงล้อเลียนอย่าง The Fox ของ Ylvis (แนะนำให้ลองหาฟังครับ ฮา) แต่ก็ยังมีวงแนวเต้นรำบางวง จินตนาการบรรเจิด เขียนเนื้อเพลงแหวกๆหลุดโลกล้ำจินตนาการ หนึ่งในนั้นคือ Empire of the Sun
Empire of the Sun คือวงจากดาวน์อันเดอร์ ออสเตรเลีย จริงๆแล้วไม่ใช่วงหลักนะครับ เพราะสมาชิกทั้งสองคนต่างสังกัดวงของตัวเอง แต่มาร่วมงานกันในโปรเจคต์นี้เท่านั้น โดยที่ Nick Littlemore (นิค) ที่รับหน้าที่ภาคดนตรี ก็คือสมาชิกของวง PNAU วงแดนซ์สุดเก๋ที่ผมเคยเสนอไปเมื่อนานมาแล้วตอนเขียนเกี่ยวกับเพลงเต้นรำในออสเตรเลีย กับอีกคนคือ Luke Steele (ลุค) รับหน้าที่ร้องนำและกีตาร์ เขาคือนักร้องนำและแกนหลักของวง The Sleepy Jackson จริงๆจะว่าแกนหลักก็แปลกๆ เพราะเหมือนวงพี่แกเองเลยมากกว่า ใครไม่ถูกใจไล่ออกหมด ขนาดพี่น้องตัวเองยังโดน จนรายชื่ออดีตสมาชิกยาวขนาดไปตั้งวงใหม่ได้สามวง
ทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ช่วงต้นยุค 2000 เพราะสังกัดค่ายเดียวกัน แล้วต่างคนก็ต่างเคยช่วยกันไปกันมาเล็กๆน้อยๆ จนได้มาร่วมงานกันจริงๆจังๆตอนที่ PNAU ทำอัลบั้ม PNAU แล้วนิคส่งตัวอย่างเพลงไปลุคทดลองร้องดูแล้วผลออกมาปรากฏว่าถูกใจ PNAU มากจนตัดสินใจเปลี่ยนแนวเพลงให้การร้องเป็นส่วนเด่นเพิ่มขึ้นมาด้วย และทำให้ทั้งคู่พบว่าเคมีในการทำงานเพลงเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด (นี่งงว่าแล้วนิคไม่เห็นใจเพื่อนร่วมวงอีกคนเรอะ)
พอเริ่มเคมีเข้ากัน พวกเขาก็เลยตัดสินใจทำไซด์โปรเจ็คต์ร่วมกัน โดยที่ในตอนแรก ทั้งสองคนอยู่คนละฟากของประเทศ ต่างคนต่างเขียนเพลงของตัวเองไป แล้วค่อยเอามาประชุมกันเพื่อตัดสินแนวทางของวงอีกที ซึ่งพวกเขาก็โปรดิวซ์เพลงเองเพื่อที่จะได้อิสระอย่างเต็มที่ รวมไปถึงการกำกับศิลป์อีกด้วย และพวกเขาก็เรียกตัวเองว่า Empire of the Sun โดยบอกว่าไม่ได้มาจากหนังสือหรือหนังชื่อเดียวกัน แต่มาจากธีมของเพลงพวกเขาที่เป็นการท่องไปในอาณาจักรต่างๆใต้แสงตะวัน แหม่ จินตนาการบรรเจิดจริงๆ
หลังจากร่วมทำงานอย่างจริงจังในสตูดิโอ พวกเขาก็ได้ฤกษ์ออกซิงเกิ้ลแรก นั่นคือ Walking on a Dream ซึ่งเป็นเพลงเต้นรำที่มีเสียงกีตาร์นำ และบรรยากาศล่องลอย เหมือนกับฮิปปี้ทำเพลงเต้นรำ บวกกับ MV สุดล้ำ ที่ทั้งสองคนแต่งตัวแบบหลุดโลกท่องไปมาในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ ไม่แปลกอะไรที่มันจะได้รับการต้อนรับอย่างงดงาม
เมื่ออัลบั้มเต็ม Walking on a Dream ออกมา มันก็เป็นความสำเร็จที่งดงามเช่นกันด้วยยอดขายและคำชมที่หลั่งไหลมา ในอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงเด่นๆ นอกจากซิงเกิ้ลแรก ซิงเกิ้ลที่ 2 อย่าง We are the People ก็เป็นลูกผสมกีตาร์และเสียงอีเล็กโทรนิกส์ได้อย่างลงตัวอีกเช่นกัน แถมเสียงร้องของลุคก็ทำให้มันเด่นขึ้นมา ฟังแล้วก็นึกไปถึง MGMT ที่ออกมาในช่วงใกล้เคียงกัน และซิงเกิ้ลที่ 3 Standing on the Shore เพลงเปิดอัลบั้มที่ล่องลอยไม่แพ้กัน ส่วนเพลงโปรดของผมคือ Half Mast ที่ล่องลอยได้พลิ้วเหลือเกิน แต่ละเพลงในอัลบั้มนั้นผสมเพลงเต้นรำ เพลงอินดี้ และเนื้อเพลงหลุดโลกเหนือจินตนาการได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงปกอัลบั้มที่เป็นงานแอร์บรัชอาร์ตเพี้ยนๆ เชยๆ เหมือนกับปกเกมคอมพิวเตอร์ยุคต้น 90 (ไปดู Wing Commander หรือ Star Control) จนทำให้เรามอง Empire of the Sun เป็นโปรเจ็คต์อาร์ตที่ครบเครื่องพร้อมทั้งวิสัยทัศน์มากกว่าแค่วงดนตรีเฉยๆ (แต่ต้องเว้นว่า ครึ่งหลังของอัลบั้มออกจะจืด น่าเบื่อ ไม่เหมือนกับครึ่งแรกเลย)
หลังจากประสบความสำเร็จจากงานชุดแรก พวกเขาก็แยกย้ายไปทำงานกับวงหลัก (แม้ไซด์โปรเจ็คต์จะได้รับความนิยมในวงกว้างมากกว่า) ก่อนที่จะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งและปล่อยงานชุดใหม่ Ice on the Dune ซึ่งธีมของอัลบั้มก็หลุดโลกไปกันใหญ่ เหมือนกับเนื้อเพลงจะหลุดมาจากเกม RPG ซักเกมเลย
ซิงเกิ้ลเปิดตัว Alive ก็ยังเดินตามรอยของซิงเกิ้ลจากอัลบั้มแรก แต่เสียงร้องประสานนั่นทำให้เรานึกไปถึงงานเพลงของ PNAU ซะมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่ติดหูและทำออกมาได้เป็นอย่างดี จังหวะไม่ได้เร็วมากแต่พอให้ได้โยกตาม
ดูเหมือนพวกเขาจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งที่แล้ว จึงกระจายความเด่นของเพลงในอัลบั้มไป ทำให้ Ice on the Dune เป็นอัลบั้มที่ฟังได้เพลินและลื่นไหลกว่าเดิม นอกจาก Alive แล้วก็ยังมีเพลงเด่นๆอย่าง Ice On The Dune ที่ชวนให้โยกอี่นกัน Disarm ที่เด่นด้วยท่อนฮุคที่แสนติดหู DNA อีกเพลงที่โดดเด่นพอจะเป็นซิงเกิ้ลได้ ส่วนเพลงโปรดของผมคงต้องยกให้ I’ll Be Around ที่ล่องลอยและมีกลินของเพลงไซคีเดลิกหน่อยๆ ชิลสุดๆครับ ประสาบการณ์ทำให้พวกเขาทำเพลงโดยรวมได้ดีขึ้นจริงๆ แม้จะไม่มีเพลงที่โดดเด่นระดับซิงเกิ้ลจากอัลบั้มก่อน แต่เมื่อมองในแง่อัลบั้มแล้วมันก็สมบูรณ์ขึ้นกว่างานชุดก่อนจนไม่ควรพลาดจริงๆ
Empire of the Sun เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ดนตรีเต้นรำก็สามารถมีเนื้อเพลงหลุดล้ำจินตนาการได้ ไม่ใช่แค่พูดอะไรซ้ำไปมา และความบรรเจิดในไอเดียของพวกเขาก็ยังคงมีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้พวกเราฟังอยู่เสมอ
No comments:
Post a Comment