Monday, September 23, 2013

Empire of the Sun หลุดไปในจินตนาการ

สิ่งนึงที่ทำให้เพลิดเพลินในการฟังเพลงคือการเสพเนื้อเพลงนะครับ ซึ่งแนวเพลงแต่ละแนวก็มักจะมีเนื้อเพลงแตกต่างกันไปตามโทนเพลง ไม่ว่าจะเป็นร๊อคอกหัก หรือถ้าเป็นยุคไซคีเดคลิกก็มันจะเพ้อๆล่องลอย เพลงเพื่อชีวิต แอนตี้สังคม ไปจนกระทั่งเพลงหาเรื่องต่อยกันอย่างฮิพฮอพ การเสพเนื้อเพลงนี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งครับ แต่กับแนวเพลงเต้นรำนี่ส่วนใหญ่เนื้อเพลงจะไม่ค่อยมีอะไรมาก แหม่ ก็คนมันอยากเต้น เน้นจังหวะไว้ก่อน จนมีเพลงล้อเลียนอย่าง The Fox ของ Ylvis (แนะนำให้ลองหาฟังครับ ฮา) แต่ก็ยังมีวงแนวเต้นรำบางวง จินตนาการบรรเจิด เขียนเนื้อเพลงแหวกๆหลุดโลกล้ำจินตนาการ หนึ่งในนั้นคือ Empire of the Sun

empire-of-the-sun-500759b7d569a

Empire of the Sun คือวงจากดาวน์อันเดอร์ ออสเตรเลีย จริงๆแล้วไม่ใช่วงหลักนะครับ เพราะสมาชิกทั้งสองคนต่างสังกัดวงของตัวเอง แต่มาร่วมงานกันในโปรเจคต์นี้เท่านั้น โดยที่ Nick Littlemore (นิค) ที่รับหน้าที่ภาคดนตรี ก็คือสมาชิกของวง PNAU วงแดนซ์สุดเก๋ที่ผมเคยเสนอไปเมื่อนานมาแล้วตอนเขียนเกี่ยวกับเพลงเต้นรำในออสเตรเลีย กับอีกคนคือ Luke Steele (ลุค) รับหน้าที่ร้องนำและกีตาร์ เขาคือนักร้องนำและแกนหลักของวง The Sleepy Jackson จริงๆจะว่าแกนหลักก็แปลกๆ เพราะเหมือนวงพี่แกเองเลยมากกว่า ใครไม่ถูกใจไล่ออกหมด ขนาดพี่น้องตัวเองยังโดน จนรายชื่ออดีตสมาชิกยาวขนาดไปตั้งวงใหม่ได้สามวง

ทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ช่วงต้นยุค 2000 เพราะสังกัดค่ายเดียวกัน แล้วต่างคนก็ต่างเคยช่วยกันไปกันมาเล็กๆน้อยๆ จนได้มาร่วมงานกันจริงๆจังๆตอนที่ PNAU ทำอัลบั้ม PNAU แล้วนิคส่งตัวอย่างเพลงไปลุคทดลองร้องดูแล้วผลออกมาปรากฏว่าถูกใจ PNAU มากจนตัดสินใจเปลี่ยนแนวเพลงให้การร้องเป็นส่วนเด่นเพิ่มขึ้นมาด้วย และทำให้ทั้งคู่พบว่าเคมีในการทำงานเพลงเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด (นี่งงว่าแล้วนิคไม่เห็นใจเพื่อนร่วมวงอีกคนเรอะ)

พอเริ่มเคมีเข้ากัน พวกเขาก็เลยตัดสินใจทำไซด์โปรเจ็คต์ร่วมกัน โดยที่ในตอนแรก ทั้งสองคนอยู่คนละฟากของประเทศ ต่างคนต่างเขียนเพลงของตัวเองไป แล้วค่อยเอามาประชุมกันเพื่อตัดสินแนวทางของวงอีกที ซึ่งพวกเขาก็โปรดิวซ์เพลงเองเพื่อที่จะได้อิสระอย่างเต็มที่ รวมไปถึงการกำกับศิลป์อีกด้วย และพวกเขาก็เรียกตัวเองว่า Empire of the Sun โดยบอกว่าไม่ได้มาจากหนังสือหรือหนังชื่อเดียวกัน แต่มาจากธีมของเพลงพวกเขาที่เป็นการท่องไปในอาณาจักรต่างๆใต้แสงตะวัน แหม่ จินตนาการบรรเจิดจริงๆ

หลังจากร่วมทำงานอย่างจริงจังในสตูดิโอ พวกเขาก็ได้ฤกษ์ออกซิงเกิ้ลแรก นั่นคือ Walking on a Dream ซึ่งเป็นเพลงเต้นรำที่มีเสียงกีตาร์นำ และบรรยากาศล่องลอย เหมือนกับฮิปปี้ทำเพลงเต้นรำ บวกกับ MV สุดล้ำ ที่ทั้งสองคนแต่งตัวแบบหลุดโลกท่องไปมาในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ ไม่แปลกอะไรที่มันจะได้รับการต้อนรับอย่างงดงาม

safe_image

เมื่ออัลบั้มเต็ม Walking on a Dream ออกมา มันก็เป็นความสำเร็จที่งดงามเช่นกันด้วยยอดขายและคำชมที่หลั่งไหลมา ในอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงเด่นๆ นอกจากซิงเกิ้ลแรก ซิงเกิ้ลที่ 2 อย่าง We are the People ก็เป็นลูกผสมกีตาร์และเสียงอีเล็กโทรนิกส์ได้อย่างลงตัวอีกเช่นกัน แถมเสียงร้องของลุคก็ทำให้มันเด่นขึ้นมา ฟังแล้วก็นึกไปถึง MGMT ที่ออกมาในช่วงใกล้เคียงกัน และซิงเกิ้ลที่ 3 Standing on the Shore เพลงเปิดอัลบั้มที่ล่องลอยไม่แพ้กัน ส่วนเพลงโปรดของผมคือ Half Mast ที่ล่องลอยได้พลิ้วเหลือเกิน แต่ละเพลงในอัลบั้มนั้นผสมเพลงเต้นรำ เพลงอินดี้ และเนื้อเพลงหลุดโลกเหนือจินตนาการได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงปกอัลบั้มที่เป็นงานแอร์บรัชอาร์ตเพี้ยนๆ เชยๆ เหมือนกับปกเกมคอมพิวเตอร์ยุคต้น 90 (ไปดู Wing Commander หรือ Star Control) จนทำให้เรามอง Empire of the Sun เป็นโปรเจ็คต์อาร์ตที่ครบเครื่องพร้อมทั้งวิสัยทัศน์มากกว่าแค่วงดนตรีเฉยๆ (แต่ต้องเว้นว่า ครึ่งหลังของอัลบั้มออกจะจืด น่าเบื่อ ไม่เหมือนกับครึ่งแรกเลย)

หลังจากประสบความสำเร็จจากงานชุดแรก พวกเขาก็แยกย้ายไปทำงานกับวงหลัก (แม้ไซด์โปรเจ็คต์จะได้รับความนิยมในวงกว้างมากกว่า) ก่อนที่จะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งและปล่อยงานชุดใหม่ Ice on the Dune ซึ่งธีมของอัลบั้มก็หลุดโลกไปกันใหญ่ เหมือนกับเนื้อเพลงจะหลุดมาจากเกม RPG ซักเกมเลย

ซิงเกิ้ลเปิดตัว Alive ก็ยังเดินตามรอยของซิงเกิ้ลจากอัลบั้มแรก แต่เสียงร้องประสานนั่นทำให้เรานึกไปถึงงานเพลงของ PNAU ซะมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่ติดหูและทำออกมาได้เป็นอย่างดี จังหวะไม่ได้เร็วมากแต่พอให้ได้โยกตาม

ดูเหมือนพวกเขาจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งที่แล้ว จึงกระจายความเด่นของเพลงในอัลบั้มไป ทำให้ Ice on the Dune เป็นอัลบั้มที่ฟังได้เพลินและลื่นไหลกว่าเดิม นอกจาก Alive แล้วก็ยังมีเพลงเด่นๆอย่าง Ice On The Dune ที่ชวนให้โยกอี่นกัน Disarm ที่เด่นด้วยท่อนฮุคที่แสนติดหู DNA อีกเพลงที่โดดเด่นพอจะเป็นซิงเกิ้ลได้ ส่วนเพลงโปรดของผมคงต้องยกให้ I’ll Be Around ที่ล่องลอยและมีกลินของเพลงไซคีเดลิกหน่อยๆ ชิลสุดๆครับ ประสาบการณ์ทำให้พวกเขาทำเพลงโดยรวมได้ดีขึ้นจริงๆ แม้จะไม่มีเพลงที่โดดเด่นระดับซิงเกิ้ลจากอัลบั้มก่อน แต่เมื่อมองในแง่อัลบั้มแล้วมันก็สมบูรณ์ขึ้นกว่างานชุดก่อนจนไม่ควรพลาดจริงๆ

Empire of the Sun เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ดนตรีเต้นรำก็สามารถมีเนื้อเพลงหลุดล้ำจินตนาการได้ ไม่ใช่แค่พูดอะไรซ้ำไปมา และความบรรเจิดในไอเดียของพวกเขาก็ยังคงมีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้พวกเราฟังอยู่เสมอ

No comments: