เมืองหลายเมืองในโลกนี้เป็นเหมือนแหล่งผลิตนักดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ นิวยอร์ก บริสตอล แต่บางเมือง เวลาเราพูดถึงแล้ว คนก็คิดไม่ค่อยออกว่ามีวงดนตรีดังมาจากเมืองนั้นด้วยหรือ ยกตัวอย่างเช่น เมืองคนบาป ลาส เวกัส ที่เป็นแหล่งการพนันมากกว่าจะเป็นแหล่งทำเพลง จนกระทั่งวง The Killers ทำให้คนรู้ว่า ลาส เวกัสก็มีวงดนตรีดีๆด้วย และมาวันนี้ ทางที่พวกเขาถางไว้ก็มีคนเดินตามแล้ว นั่นคือ Imagine Dragons วงที่กำลังมาแรงนตอนนี้
Imagine Dragons คือวงน้องใหม่ที่เริ่มต้นทำงานเพลงในลาส เวกัส (แต่เริ่มตั้งวงในยูทาห์) ในปี 2009 พวกเขาประกอบด้วย Dan Reynolds (แดน ร้องนำ) Wayne Sermon (เวนย์ กีตาร์) Ben McKee (เบน เบส) และ Daniel Platzman (แดเนียล กลอง) โดยก่อนหน้านี้เคยมีสองพี่น้อง Tolman ที่เล่น กลอง กลับ คีย์บอร์ดให้กับวงด้วย ส่วนที่มาของชื่อพวกเขาคือ การเรียนตัวอักษรของคำๆหนึ่งใหม่ (Anagram) จนกลายเป็นคำนี้ แต่พวกเขาก็ไม่เคยเปิดเผยว่าคำตั้งต้นเป็นคำว่าอะไร
พวกเขาเริ่มต้นทำงานเพลงของตัวเองในเมืองลาส เวกัส โดยอาศับสตูดิโอ Battle Born ของรุ่นพี่อย่าง The Killers เป็นสถานที่อัดเพลง ซึ่งออกมาเป้น EP สองแผ่นคือ Imagine Dragons และ Hell and Silence ซึ่งด้วยความโดดเด่นของมัน ทำให้พวกเขาถูกดึงตัวเข้าค่ายเพลงใหญ่อย่าง Interscope บ้านเดียวกับ Lady Gaga และ La Roux เลยทีเดียว
และเมื่อได้ค่ายใหญ่มาหนุนหลัง พวกเขาก็เริ่มติดปีก โดยได้เริ่มอัด It’s Time เป็น EP แผ่นใหม่ และต่อมาก็ได้โปรดิเซอร์ดัง Alex Da Kid ออก EP ชื่อ Continued Silenced ต่อมาช่วงต้นปี 2012 และขึ้นถึงอันดับ 40 ในชาร์ตบิลบอร์ด
และเมื่อพวกเขาออกซิงเกิ้ล It’s Time สปอตไลต์ก็ฉายมาที่พวกเขาเต็มๆ เพราะมีนสามารถถีบขึ้นไปบนอันดับสูงในชาร์ต่างๆ กลายเป็นเพลงฮิตจน MTV เลือกให้พวกเขาเป็นศิลปินมาแรงประจำสัปดาห์ แถมยังทำยอดขายจนได้รางวัลแผ่นทองคำขาวเลยทีเดียว กลายเป็นเพลงที่ถีบให้พวกเขาเป็นวงที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และดูเหมือนว่าจะไม่ได้จบแค่ด้วยเพลงฮิตเพลงเดียวด้วยสิ
ถ้าถามว่าแปลกมั้ยที่จู่ๆเพลงนี้ก็ดัง คงบอกได้แค่ว่า ไม่แปลกอะไรเลย เพราะมันมีคุณสมบัติพร้อมที่จะให้กลายเป็นเพลงดังได้ครบ เริ่มตั้งแต่เสียงกลองกระทืบหนักช่วงต้นเพลงที่ชวนให้ฮึกเหิม เสียงประกอบมุ้มมิ้งน่ารักไม่เข้ากัน เสียงร้องของนักร้องนำที่แปลกตรงที่มีเสียงแหบแต่กลับลากเสียงสูงได้อย่างมีเอกลักษณ์ บวกกับท่อนฮุคที่แสนจะติดหูชวนให้แหกปากร้องตาม ทำให้ It’s Time กลายเป็นเพลงสเตเดี้ยมร๊อคที่พร้อมจะทำให้คนหลายหมื่นแกปากไปพร้อมๆกัน สมกับที่เป็นเพลงที่ส่งให้พวกเขาโด่งดังไปทั่ว
และหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินหน้าเข้าอัดผลงานอัลบั้มเต็มชุดแรก Night Visions ที่วางขายเมื่อช่วงปลายทีที่แล้ว และมันก็ไม่ทำให้คนที่รอคอยผิดหวัง เพราะมันสานต่อความสำเร็จของ It’s Time ได้เป็นอย่างดี และนั่นทำให้มันขึ้นถึงอันดับสองในอัลบั้มชาร์ตของบิลบอร์ด ส่งให้วงน้องใหม่จากลาส เวกัส วงนี้กลายเป็นดาวเด่นในวงการเพลงจริงๆ
นอกจากเพลง It’s Time ที่เป็นเพลงเด่นแล้ว พวกเขายังมีเพลงอื่นๆที่น่าสนใจอย่าง Radioactive เพลงเปิดอัลบั้มและกลายมาเป็นซิงเกิ้ลที่สามจากอัลบั้มนี้ด้วย โดยที่มันเป็นการเปิดตัวอัลบั้มที่ฮึกเหิมและเกรียงไกร จากเสียงกีตาร์โปร่งและเสียงครวญได้กลิ่น Coldplay มา ก่อนที่จะตบไปที่เสียงจังหวะกลองสังเคราะห์ที่หนักหน่วงโครมคราม กลายเป็นเพลงประกาศศักดาเหมือนกำลังจะไปรบกับใครก็มิปาน สมแล้วที่รายการฟุตบอลเลือกไปประกอบรายการ
เพลงต่อมาอย่าง Tiptoe ก็ยังคงมีกลิ่นอายของ Coldplay ยุค Mylo Xyloto ปนอยู่อีกเช่นกัน โดยเฉพาะเสียงร้องที่โทนคล้ายกันแต่มีมีเอกลักษณ์ของตัวเองชัดพอ ส่วน Hear Me ก็ทำให้เรานึกไปถึง The Killers วงรุ่นพี่ร่วมเมืองในยุคแรกๆได้ โดยเฉพาะการลากเสียงร้องและเสียงซินธิไซเซอร์ประกอบตอดเล็กตอดน้อย จนเป็นเพลงเด่นอีกเพลงหนึ่ง ขณะที่เพลง Underdog เป็นเพลงพ๊อพฟังสบายๆ ชวนให้ลุกขึ้นมาเต้นรำริมชายหาดกลางแดด ยิ่งฟังเพลงพวกเขาไป ก็ยิ่งเจอเสียงเล็กๆน้อยๆมุ้งมิ้งที่ทำให้เพลงมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นจริงๆครับ ส่วน Nothing Left To Say ก็เด่นด้วยจังหวะอีเล็กโทรนิกส์ที่อลังการ เหมือนให้ A-Ha มาทำเพลงร๊อคที่หนักขึ้น และยังมีเพลงฟังสบายอย่าง Every Night และ Amsterdam อีกด้วย ดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักการผสมส่วนผสมให้ลงตัว ทั้งเพลงร๊อค พ๊อพ อีเล็กโทรนิกส์ เข้าด้วยกัน และทำงานเพลงที่ติดหู จนคิดว่าน่าจะมีโอกาสขึ้นไปท้าวงรุ่นพี่อย่าง Coldplay และ The Killers เหมือนกัน ถ้าจะมีข้อเสียหน่อยก็ตรงที่ผมคิดว่าพวกเขาทำเพลงพ๊อพมากไป อยากให้กล้าเสี่ยงมากกว่านี้หน่อย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Night Visions คืองานเปิดตัวที่น่าสนใจมากๆอีกชิ้นหนึ่งในช่วงนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟนเพลงขาร๊อคหรือคนที่ชอบฟังเพลงพ๊อพก็น่าจะติดหูได้ไม่ยาก ดูแล้วเส้นทางข้างน่าน่าจะสดใสมากๆสำหรับวงน้องใหม่อย่าง Imagine Dragons จริงๆ และทำให้เชื่อได้ว่า ลาส เวกัส ก็ไม่ได้มีแค่วงเด่นวงเดียวอีกต่อแล้ว
No comments:
Post a Comment