8. The Maccabees – Given to the Wild งานชุดที่สามของวงอินดี้จากลอนดอน อังกฤษ ที่เป็นก้าวกระโดดในการพัฒนางานเพลงของพวกเขา ตั้งแต่เพลงแรก Given to the Wild ก็ได้สร้างบรรยากาศที่ล่องลอยซ้อนทับกันของเลเยอร์ของเสียงได้เป็นอย่างดี ก่อนจะส่งต่อเข้าเพลงแรก Child ได้อย่างไร้ที่ติ และ Child เองก็โดดเด่นด้วยการเริ่มต้นอย่างเนิบๆคลอไปด้วยเสียงเครื่องเป่า ก่อนที่จังหวะจะเร่งเร้าขึ้นราวกับเพลงของชนเผ่าในแอฟริกา บวกกับเสียงกีตาร์ที่เล่นล้อไปกับเครื่องเป่า ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Pelican อาจจะอินโทรขึ้นมาให้เราคิดว่าพวกเขาคงทำเพลงโจ๊ะๆเหมือนเดิม แต่กลายเป็นว่าแม้จังหวะจะเร่งเร็วขึ้น แต่รายละเอียดของานเพิ่มขึ้น แนะนำให้ฟังทั้งอัลบั้มรวดเดียวเลย
7. Enter Shikari – A Flash Flood of Colour งานเพลงชุดที่สามของวงร๊อคลูกผสมจากโบลตัน ที่ขยำเพลงอีเล็กโทรนิกส์เข้ากับเพลงโพสต์ฮาร์ดคอร์ ฟังดูเหมือนจะเป็นส่วนผสมที่ได้เพลงกากๆออกมา แต่พวกเขารู้จักปรุงเป็นมาตั้งแต่เปิดตัวใหม่ๆ ทำให้ได้อาหารฟิวชั่นที่ลงตัวแบบสุดๆ ไม่ว่าคุณต้องการจะเต้นรำ หรือจะมอช หาได้ในคอนเสิร์ตของพวกเขา แต่ละเพลงหนักหน่วงและเต็มไปด้วยเสียงของจักรกลบ้าคลั่ง ใครคิดว่า Skrillex เท่ที่ทำเพลง Brostep หนักๆ แต่ Enter Shikari จับความรู้สึกตอนหุ่นยนต์ยักษ์ซัดกำปั้นใส่หน้าเรามาได้ก่อนนานแล้ว แนะนำ Gandhi Mate, Gandhi กับ Arguing With Thermometers
6. The XX – Coexist งานเพลงชุดที่สองของพวกเขาหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์กันมามากขึ้น พวกเขาบอกว่า งานชุดนี้จะเน้นไปที่ดนตรีในคลับ แม้ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Angels จะยังหนักไปทางดนตรีเรียบๆเล่นกับช่องว่างของเสียง แต่พอ Chained ออกวางขาย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอีเล็กโทรนิกส์ที่มากขึ้น ตามอิทธิพลของเจมี่ ทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นงานมินิมอลเทคโนผสมอินดี้ที่ลงตัว ตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกมาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับการค่อยๆสลักเอาเพชรเม็ดงามจากก้อนหิน
5. Tame Impala – Lonerism งานชุดที่สองของวงจากออสเตรเลีย ที่จัดได้ว่าเป็นงานเพลงที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นกัญชาและสารเสพติดมากที่สุดอีกชิ้นหนึ่งของปีก่อน พวกเขาหยิบเอา Progressive Rock, Psychedelic Rock รวมไปถึง Space Rock และเพลงพ๊อพทั้งหลายทั้งปวงมาขยำลงในอัลบั้มเดียวกัน ราวกับวัยรุ่นที่ไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอกแล้ววันหนึ่งไปคนเจอกรุแผ่นเสียงของพ่อที่สะสมมาตั้งแต่ยุค ’70 แล้วไล่ฟังมันและหัดทำเพลงตามในขณะที่เคลิ้มกับกลิ่นกัญชา แนะนำ Feels Like We Only Go Backwards
4. Flying Lotus – Until the Quiet Comes งานเพลงชุดที่สี่ของศิลปินผิวสีคนนี้จากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งโดดเด่นมาเสมอ โดยเฉพาะอัลบั้มก่อน Cosmogramma และการกลับมาครั้งนี้เขากลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม จากที่เคยพาเราท่องอวกาศ เขาพาเรากลับสู่โลก แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยทำนองเพลง ต่างจากชุดก่อนที่เราท่องจักรวาลแห่งจังหวะที่ซับซ้อน ครั้งนี้เราได้ผจญภัยไปในหลายๆที่ทั่วโลก ตั้งแต่กระท่อมชนเผ่าในแอฟริกา บาร์แจ๊ซในชิคาโก คลับลับใต้ดินในปารีสที่อบอวลด้วยควันบุหรี่ เขาคือชายที่กุมบังเหียนคุมงานเพลงของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แนะนำเสียบหูฟังแบบครอบหูแล้วฟังรวดเดียวนิ่งๆ
3. N’Shukugawa Boys – Planet Magic/24 Hours Dreamers Only! งานเพลงสองชุดรวดของเพชรเม็ดงามจากญี่ปุ่นที่ผมค้นเจอโดยบังเอิญ ที่ใส่ทั้งสองชุด เพราะผมเองเพิ่งเจองานจากปี 2011 เมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง แต่กลายเป็นเหมือนการเจอขุมทรัพย์ตกสำรวจ เพราะเพลงของหนุ่มสาวสามคน ตือเพลงจากยุคโพสต์พังค์รุ่งเรืองในอังกฤษเมื่อต้นปี ’80 แต่ได้รับเสน่ห์แบบญี่ปุ่นของพวกเขาเข้าไป ทำให้ได้เพลงร๊อคที่ก๋ากั๋นเต็มสูบ เสียงร้องที่น่ารัก ประสานคู่กับเสียแหกปาก ลงตัวกันอย่างกลมกลืน เพลงของพวกเขาทำให้เรานึกถึงการเดินเล่นคนเดียวท่ามกลางราตรีของคืนโตเกียว ฟังทีไรก็อยากจะควบมอเตอร์ไซค์ออกไปซิ่งใต้แสงไฟในเมืองหลังเที่ยงคืนจริงๆ แนะนำ Midnight Angel กับ 24 Hour
2. Frank Ocean – Channel Orange งานเพลงR&Bชุดที่สองจากชายหนุ่มจากนิวออร์ลีนส์ หนึ่งในกลุ่ม Odd Future ที่เปิดมิติใหม่ของเพลง R&Bได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติด สมกับที่รอคอยกันมาเนิ่นนาน ได้ความรู้สึกสดใหม่เหมือนกับตอนที่ได้ฟัง Maxwell, DÁngelo และ John Legend เป็นครั้งแรก Frank คือความหวังใหม่ของวงการเพลง R&B อย่างแท้จริง แต่ละเพลงมีความสมูธราบรื่นราวกับการลูบมือผ่านผ้าไหมจีน บวกกับเสียงใหม่ๆทีทำให้เรารู้สึกได้เลยว่านี่คือการนำเพลง R&B เข้าสู่อีกมิติหนึ่งจริงๆ จนกลายเป็นงานที่ไร้ที่ติอย่างสิ้นเชิง แนะนำ งานที่สุดยอดทะเยอทยานสมกับชื่อเพลงอย่าง Pyramids ซิงเกิ้ลมหากาพย์ยาว 9 นาที
1. Twin Shadow – Confess งานอันดับหนึ่งของปีนี้ของผมมาอย่างเซอไพรซ์ เพราะว่าอัลบั้มเปิดตัวของชายหนุ่มคนนี้จัดว่าดี แต่ไม่ได้เลิศ แต่พอมาถึง Confess กลายเป็นว่าเขาได้ให้ความหมายของคำว่า Cool ใหม่อีกครั้ง เป็นงานที่เหมือนกับหลุดมาจากยุค ’80 ที่คนมุ่งจะทำเพลงพ๊อพบริสุทธิ์ไร้ที่ติ เขาเองก็ทำเพลงพ๊อพเหล่านั้นออกมาได้อย่างเลอเลิศ ทำให้เรานึกถึง Prince ในช่วงพีค เมื่อได้ฟังทั้งอัลบั้ม ก็เหมือนกับการได้ผจญภัยไปยังสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่ควบมอเตอร์ไซค์ทยานไปตามทางหลวงที่เปล่าเปลี่ยว คลับดิบๆที่อวลกลิ่นเหล้าราคาถูก โรงหนังเกรดบี 5 Seconds งามเจิดจรัส ไม่ต่างกับ I Drove All Night ของ Roy Orbison ส่วน Golden Light เพลงเปิดก็เหมือนดึงส่วนดีของ New Romantic ออกมา I Don’t Care ก็เป็นบัลลาดบาดหัวใจ และปิดท้ายด้วย Be Mine Tonight ได้อย่างงดงาม สำหรับผมแล้ว ไร้ที่ติครับ
No comments:
Post a Comment