ในที่สุดผมก็ได้มีวันหยุดแบบสองวันติดเสียที หลังจากวุ่นกับเรื่องงานมาหลายเสาร์อาทิตย์ และปรากฏว่า จังหวะเหมาะกับที่อนิเมะเรื่องที่อยากดู เข้าฉายในเมืองไทยพอดี เลยพยายามขนขวาย ดั้นด้นไปถึงสยาม ที่ปกติไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่นัก เพื่อที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงหนังลิโด้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
อนิเมะ (ผมเลือกใช้คำนี้ แยกไปจากการ์ตูน และอนิเมชั่น) เรื่องที่ว่าคือ Wolf Children คู่จี้ด ชีวิตมหัศจรรย์ หรือชื่อญี่ปุ่นคือ OOKAMI KODOMO NO AME TO YUKI ที่พึ่งเข้าฉายไปที่ญี่ปุ่นเมื่อกลางปีที่ผ่านมานั่นเอง ซึ่งเป็นงานอนิเมะที่ผมค่อนข้างจะคาดหวังไว้เยอะ เพราะทีมผู้กำกับ และผู้ออกแบบตัวละครคือทีมเดียวกับที่ทำเรื่อง Summer Wars อนิเมะชื่อดังเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง (และผมเป็นคนแปลฉบับมังงะด้วยครับ) เมื่อพวกเขากลับมา และทาง M Pictures เอามาฉายในโรง ก็ไม่ควรพลาดครับ เพราะการดูหนังในโรงมันได้บรรยากาศกว่าการดูที่บ้านเยอะ (แต่ต้องทนกับคนไร้มารยาททั้ง โทรศัพท์ คุยกัน เตะเบาะ สารพัดหน่อยนะ)
ก่อนจะไปเรื่องตัวอนิเมะ คงทราบข่าวกันแล้วว่า อีกไม่นาน โรงหนัง ลิโด้ และสกาล่า ฉายหนังดีๆ นอกกระแสให้พวกเราได้สนุกกันมาตลอด ก็จะจากไป กลายเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ให้เราได้เดินกันแบบไม่ต้องกลัวว่าชาตินี้จะไม่มีห้างอีกต่อไป เพราะต่อไปเราจะมีห้างทุกตารางเมตรของแผ่นดินบางกอกแล้วมั้ง ห้างเราจะเชื่อมต่อกันหมด คนจะได้ไม่ต้องเดินบนดิน แต่ตากแอร์ได้ทั้งวัน (ก็เวอร์ไป)
จริงๆ ผมไม่ได้เสียดายตัวโครงสร้างอาคารหรอกครับ แต่เสียดายระบบโรงหนังแบบเก่าที่ผมโตมาด้วย โรงหนังมัลติเพลกซ์ที่มีเกลื่อนเมือง มันก็ดี แต่ว่า ราคาแพงเหลือหลาย ไปดูหนังกับแฟนทีนี่ หมดตังค์ไปเยอะมากนะ ค่าน้ำค่าขนมนี่แบบบานเลย แต่โรงหนังแบบลิโด้ บรรยากาศแฮตโฮม สบายๆ ตั๋วแค่ 100 เดียว (มาหลายปีแล้วด้วยนะ) แต่ที่ผมรู้สึกดีคือ พนักงานที่ใส่สูทเหลือง คอยอยู่หน้าโรง กับพนักงานในโรง ที่บริการดี และสุภาพมาก ซึ่งเราจะหาไม่ค่อยได้ในโรงแบบมัลติเพลกซ์ (เดี๋ยวนี้กระทั่งคนยืนตรวจตั๋วหน้าโรงยังไม่ค่อยมี) พอฉายเสร็จ ก็มาบอกว่าออกทางไหนได้บ้าง เป็นเรื่องเล็กๆที่ชอบเป็นการส่วนตัว และเสียดายว่าต่อไปพวกเขาก็จะค่อยๆหายไป ไม่รู้ว่าโรงหนังแบบนี้จะมีอยู่อีกนานแค่ไหนกัน
กลับมาเรื่องตัวอนิเมะ Wolf Children เป็นผลงานกำกับของ โฮโซดะ มาโมรุ ที่โด่งดังมาจากการกำกับอเนิมะดังตั้งแต่ The Girl Who Leap Through Time กับ summer Wars จนเป็นที่จับตามาองในวงการ ซึ่งส่วนตัวผมจัดให้สูสีกับชินไค มาโคโตะ และเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาเขียนบทเอง โดยใช้ฉากหลังเป็นจังหวัดโทยาม่า บ้านเกิดของเขา เลยยิ่งน่าสนใจว่าจะออกมาในแนวไหน
พอดูตัวอย่าง ก็ยังงงๆ ว่าจะออกมาในแนวไหน เท่าที่รู้คือ เด็กสาว คบกับมนุษย์หมาป่า แล้วมีลูกกัน แล้วคนพ่อตาย เลยตัดสินใจเลี้ยงลูกครึ่งหมาป่า แต่นอกนั้นก็ไม่รู้อะไร ไม่รู้มันจะเป็นหนังแนวไหน แต่ด้วยความไว้วางใจในผลงานเดิม เลยตัดสินใจว่า ไม่พลาดแน่ๆ และก็ได้คำตอบว่า ไม่ผิดหวังครับ
เรื่องย่อคือ นักศึกษาสาว ฮานะ เจอกับหนุ่มลึกลับคนหนึ่ง และเมื่อคบกันไป สุดท้าย เค้าก็เปิดแผยตัวว่า เป็นมนุษย์หมาป่า และก็อยู่ด้วยกัน จนมีลูกด้วยกันสองคนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อลูกคนที่สองเกิดมา คนพ่อก็ตายเพราะอุบัติเหตุ ทำให้ฮานะต้องเลี้ยงลูกครึ่งหมาป่าคนเดียว และตัดสินใจไปใช้ชีวิตที่บ้านนอก เพื่อหนีห่างจากสายตาผู้คน ก่อนที่จะพบว่า การเลี้ยงดูเด็กครึ่งหมาป่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะยิ่งเมื่อพวกเขาโตขึ้นมา และต้องการสิ่งที่แตกต่างกัน
จากที่ไม่รู้มากว่าเลยว่าจะเป็นเรื่องแนวไหน ขนาดนั่งดูไป ทีแรกก็นึกว่าจะเป็นหนังเชิดชูชนบทของญี่ปุ่น แอนตี้การทำลายสิ่งแวดล้อมในแบบของมิยาซากิ ฮายาโอะ แห่งจิบลิ เพราะสัมผัสถึงอิทธิพลได้ชัดมาก โดยเฉพาะสองพี่น้องที่ทำให้นึกไปถึงเรื่องโตโตโร่จริงๆ 2ใน3 ส่วนแรกของหนัง เล่าเรื่องได้อย่างกระชับ โดยใช้ภาพและดนตรีประกอบได้อย่างโดดเด่น เล่นกับช่องว่างและจังหวะได้ดีจริงๆ ตั้งแต่เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเหงา แล้วตัดมาที่ชีวิตชนบทที่ยังพึ่งพากันมากอยู่ เล่นเอานึกถึงบ้านนอกของญี่ปุ่นที่ตัวเองเคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงสั้นๆด้วย รายละเอียดเล็กน้อยต่างๆเก็บไม่เคยพลาด ถือว่าผู้กำกับทำงานออกมาได้ดีมากๆ โดยไม่เทศนาคนดูอย่างไม่จำเป็น แต่เราจะค่อยๆซึมซับข้อความเข้ามาได้เอง แต่พอมาส่วนท้ายเรื่อง กลายเป็นหนัง Coming of Age ของสองพี่น้อง ที่ต้องการสิ่งที่แตกต่างกันออกไป และต้องการความกล้าในการเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง รวมไปถึงการเล่าเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ซึ่งสักวันหนึ่ง ลูกๆก็ต้องเติบโตและจากอกแม่ไป เพื่อเดินไปตามเส้นทางของตนเอง ซึ่งก็นำไปสู่บทสรุปที่น่าประทับใจ ดูแล้วซึ้งและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
ต้องยอมรับว่าผกก.เล่าเรื่องออกมาได้ดีมากๆ และงานศิลป์ทั้งภาพทั้งเพลงก็โดดเด่นจริงๆ ส่วนภาพหลายส่วนงามจนนึกว่าเอาฟุตเตจเข้ามาผสมเลย (หรือว่าทำจริงๆ?) เพลงก็ช่วยเล่าเรื่องได้อย่างลงตัว ซึ่งทำให้เรื่องกระชับ และดึงคนดูได้ตลอด จนเราเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวตัวละคร ตัวละครเสริมต่างๆที่ออกมาก็เสริมรสชาติให้เรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และทีมนักพากย์ โดยเฉพาะดาราสาว มิยาซากิ อาโออิ (จากละคร เจ้าหญิงอัตซึ) ก็ยิ่งช่วยให้งานชิ้นนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ จนแอบคิดว่า เยี่ยมกว่างานของทางจิบลิหลายๆชิ้นในช่วงหลังเลยทีเดียว
ใครอยากหาหนังดีๆ ดูแล้วมีความสุข ก็ขอแนะนำให้ลองไปดูกันครับ ไม่แน่ใจว่าจะฉายอีกนานแค่ไหน เพราะพึ่งเข้าเมื่อวันที่ 8 แต่ก็ดีใจที่มีโรงหนังที่นำเอาอนิเมะและหนังนอกกระแสแบบนี้มาฉายเรื่อยๆ และก็ใจหายว่า อีกไม่นานอาจจะมีโรงหนังแบบนี้อีกแล้ว ก็ได้แต่หวังว่า เครือ Apexจะยังคงมีที่ยืนในวงการหนังและมีพื้นที่ฉายหนังนอกกระแสให้เราดูต่อไปเหมือนทุกวันนี้นะครับ
2 comments:
เสียดาย..ที่ไม่ได้ดูอนิเมะเรื่องนี้
เสียดาย..ที่จะไม่มีลิโด้กับสกาล่า
Post a Comment