มานั่งนึกย้อนดูช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าวงการดนตรีอังกฤษเริ่มจะซบเซาลง ซึ่งก็เป็นวัฎจักรปกติ ที่หลังช่วงบูม ก็เข้าสู่ช่วงซบเซา เหมือนหลังจากที่ยุคบริตป๊อป+คูลบริทาเนีย วงการเพลงอังกฤษก็ซบเซาหงอยเหงาอยู่หลายปี ก่อนที่จะมี The Strokes มาจุดกระแสวงการเพลงทั่วโลก และอังกฤษก็มาบูมกับ the Libertines และวงสารพัดสารพันก็เรียงหน้ากันออกมาก ไม่ว่าจะเป็น Franz Ferdinand, Arctic Monkeys หรือ Muse ที่ออกมาก่อนแต่ก็ติดกระแสด้วยงานเพลงชุดที่สามได้
แต่มาดูตอนนี้ มีกี่วงที่เลื่อนสถานะเป็นวงขนาดยักษ์ได้เหมือนกับรุ่นที่ผ่านมาบ้างครับ น้อยมาก วงที่ครองวงการตอนนี้เป็นวงจากช่วงบูมเกือบทั้งหมด ส่วนวงรุ่นใหม่ๆ ก็เก็บแฟนได้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้อัพเกรดสถานะซะที ไม่ตื่นตาตื่นใจเหมือนเคย ส่วนวงการฟุตบอล ผลการแข่งขันของทีมชาติก็ไม่กระเตื้องเสียที ส่วนเศรษฐกิจ ก็ซบเซา การแบ่งแยกชนชั้นทางเศรษฐกิจมากขึ้น จนเกิดเป็นการประท้วงทั่วประเทศที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน ด้วยหลายสาเหตุ ทำให้ความ เท่ หรือ Cool แบบอังกฤษเสื่อมถอยลง ก่อนที่งานโอลิมปิก ที่ลอนดอนจะเริ่ม ภาพลักษณ์ของอังกฤษก็ช่างหงอยเหงา ดีที่มีอีเวนต์ใหญ่อย่าง The Royal Wedding กับงานฉลองการครองบัลลังค์ของราชินี ที่ช่วยให้สังคมได้ฮือฮา แต่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ลอนดอนโอลิมปิกจะเริ่มต้น ชาวอังกฤษก็ได้ฉลองชัยให้กับความสำเร็จของชาวอังกฤษคนหนึ่ง (และทีมหนึ่ง) กับการคว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด Tour De France เป็นครั้งแรกของชาวอังกฤษ และส่งให้ภาพลักษณ์ความ Cool แบบอังกฤษโดดเด่นขึ้นมาได้อีกครั้ง
ก่อนอื่นผมคงต้องของเท้าความก่อนว่า Tour De France คืออะไร สำหรับคนบ้าจักรยานแล้ว TDF คืองานแข่งขันจักรยานทางไกลที่ดังที่สุดในโลก เพราะแข่งกันมาเกินร้อยปีแล้ว และเป็นการแข่งขันที่แสนทรหด เพราะทุกคนต้องปั่นเป็นระยะทางรวมถึงประมาณ 3,500 กิโลเมตร ในระยะเวลา 21 วัน ก่อนจะไปปิดท้ายที่ชองเอลิเซ่ในปารีส ซึ่งการแข่งในปีนี้ก็เป็นครั้งที่ 99 ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีชาวอังกฤษได้แชมป์เลย แม้จะมีชาวอังกฤษที่เคยได้สวมเสื้อเหลือง ไมโยจูโน เสื้อของผู้ที่ทำเวลารวมนำอยู่ แต่ยังไม่มีใครได้เกียรติสวมเสื้อเหลืองเข้าเส้นชัยในวันสุดท้ายเสียที แต่ในที่สุดวันนี้ของชาวอังกฤษก็มาถึง
เป็นครั้งแรกที่มีชาวอังกฤษเป็นตัวเต็งก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น และเขาก็คือ Bradley Wiggins ชาวอังกฤษที่เกิดที่เบลเยี่ยม ก่อนจะมาโตที่ลอนดอน และใช้ชีวิตกับจักรยานมาตลอด โดยเขาเริ่มต้นปั่นจักรยานแบบแทร็คในร่มก่อน และคว้าแชมป์ให้กับทีมชาติอังกฤษไม่น้อย รวมทั้งเหรียญทองโอลิมปิกอีกด้วย แต่เขาก็รู้ว่า การปั่นแทร็คมันมีลิมิต เขาจึงหันมาปั่นจักรยานแบบโร้ด หรือแบบถนนทางไกลแทน และเริ่มเข้าสังกัดทีมในฝรั่งเศสอย่าง FDJ และค่อยๆพัฒนาตนเองขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มฉายแววผู้ท้าชิงตัวจริงเมื่อปี 2009 ที่เขาได้ที่ 4 ในการแข่ง Tour De France ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจชายที่มาจากชาติที่วัฒนธรรมจักรยานเป็นรองชาติอื่นๆในยุโรปคนนี้
และความฝันของชาวอังกฤษก็เริ่มฉายแวว เมื่อมีทุนใหญ่อย่าง SKY ตัดสินใจตั้งทีมจักรยานของชาวอังกฤษ ในปี 2010 ที่มุ่งมั่นจะคว้าแชมป์โดยชาวอังกฤษภายใน 5 ปี และสิ่งที่ทีมทำคือ ดึงตัว เดวิด เบรลฟอร์ด ผู้อำนวยการที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทีมชาติอังกฤษมา และกวาดต้อนนักปั่นเชื้อสายอังกฤษฝีมือดีมาร่วมทีม ทั้ง คริส ฟรูม, มาร์ค คาเวนดิช รวมไปถึง แบรดลีย์ วิกกินส์ ที่จะมาเป็นเอซของทีมด้วย แม้ในตอนแรกผลงานของทีมจะลุ่มๆดอนๆ แต่การคว้าแชมป์ Vuelta Espana ในปี 2011 ของวิกกินส์ ก็ทำให้เขากลายมาเป็นตัวเต็งใน TDF 2012 ทันที เพราะอีกสองตัวเต็งอย่าง แอนดี้ ชเล็ก ก็บาดเจ็บ ส่วน อัลแบร์โต้ คอนทาดอร์ ก็ติดโทษแบน จึงเป็นโอกาสที่ดีของทีม SKY ในการสานฝันของชาวอังกฤษซะที
และพอการแข่งขันเริ่มต้นด้วยPrologueที่เป็นการแข่งแบบสปรินต์ระยะสั้น วิกกินส์ก็ทำเวลาได้ดีมากๆเพราะเป็นของถนัดของเขา จะแพ้แค่เพียงฟาเบียง แคนเชลราลา แห่งเรดิโอแชคนิสสัน ที่ดีกว่า 7 วินาที ทำให้เสื้อเหลืองตกเป็นของฟาเบียงไป แต่ในสเตจต่อๆมา เขาก็ตามติดฟาเบียงแบบไม่ปล่อย จนมาแซงในสเตจที่ 7 ได้เสื้อเหลืองไปครองและเขาก็ไม่ปล่อยเสื้อเหลืองตัวนี้ให้เป็นของคนอื่น จนกระทั่งวันสุดท้าย ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนร่วมทีมที่มีเป้าหมายเดียวกันคือส่งเขาเป็นแชมป์ ทำให้มีแชมป์ชาวอังกฤษถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ TDF
นอกจากการคว้าแชมป์ที่เป็นประวัติศาสตร์แล้ว ความ คูล ในแบบของเขา ทำให้เขาเป็นที่นิยมทั้งในอังกฤษและในต่างประเทศเป็นอย่างมาก กลายเป็นแชมป์ที่ไม่เพียงแต่เก่ง แล้วยังเท่ อีกด้วย วิกกินส์ หรือชื่อเล่นว่า Wiggo เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย บวกกับหางตาตกๆเศร้าๆ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์เฉพาะตัว ผสมกับจอนยาวๆ และแว่นตาดำทรงคลาสสิกสไตล์ Mod ที่เขาชื่นชอบ ขนาดที่ใช้โลโก้กองทัพอากาศอังกฤษที่เป็นสัญลักษณ์ของ Mod บนเสื้อแข่งประจำ ทำให้ความเท่แบบอังกฤษกลับมาเข้าเทรนด์อีกครั้งด้วยการนำแฟชั่นของแชมป์ผู้นี้ ใครจะเป็นตัวแทนความเท่แบบอังกฤษได้ดีเท่าผู้ชนะล่ะครับ
นอกจากความเท่นอกสนามแล้ว พฤติกรรมในสนามก็ทำให้เขาได้รับคำชมมากๆ เพราะในสเตจที่ 14 ที่มีคนโรคจิตเอาเป๊กไปโปรยบนถนน ทำให้นักปั่นหลายคนยางแตก รวมไปถึงคาเดล อีแวนส์ แชมป์เก่าด้วย แต่แทนที่วิกกินส์จะฉวยโอกาสนี้ทำเวลาทิ้งห่างคู่แข่ง เขากลับเป็นคนที่บอกให้เปโลตอง (กลุ่มนักปั่น) ชะลอลง เพื่อรอคนที่ยางแตก ถือเป็นสปิริตที่งดงามมากๆ จนซื้อใจแฟนๆได้ทุกชาติเลยทีเดียว
หลังจากการคว้าแชมป์และทำให้กระแสวิกโก้บูม เขาก็มาโชว์ฟอร์มคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเทศตัวเองอีก และเป็นยุคทองของวงการจักรยานอังกฤษ เพราะกวาดไปหลายเหรียญมากๆครับ ทั้งแบบแทร็คทั้งแบบถนน จุดให้วงการจักรยานอังกฤษคึกคักขึ้นมาทันที กลายเป็นฮีโร่ที่ทำให้ความ เท่ คูล แบบสุภาพบุรุษอังกฤษกลับมาโดดเด่นอีกครั้งชดเชยกับความซบเซาของวงการอื่นของอังกฤษได้เป็นอย่างดี
No comments:
Post a Comment