เผลอแป๊บเดียว ก็จะหมดปี 2012 แล้ว เวลามันผ่านไปเร็วนะครับ นึกอีกที นี่ก็ครบสิบปีที่ผมเริ่มไปเรียนที่ญี่ปุ่นล่ะ และบอกตรงๆว่าดีใจมากที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นในช่วงนั้น เพราะเป็นช่วงที่วงการดนตรีเบ่งบานและน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ตั้งแต่การจุติของ The Strokes การกลับมาของวงการาจพังค์ ซึ่งมีวงเท่ๆแห่กันมาเต็มไปหมด โดยเฉพาะวง The สารพัดสารพัน ทำให้ได้เสพดนตรีจากสองฟากฝั่งแอตแลนติคอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะคอนเสิร์ต ที่ได้วนไปตามไลฟ์เฮาส์เล็กๆเพื่อดูวงที่มาแรงเป็นประจำ และหนึ่งในวงที่ได้ดูแล้วประทับใจไม่เสื่อมคลายคือ The Datsuns วงฮาร์ดร๊อคจากนิวซีแลนด์นั่นเอง
The Datsuns เริ่มตั้งต้นในปี 1995 โดยสมาชิกสามคนแรกคือ Rudolf de Borst (รูดอล์ฟ หรือ ดอล์ฟ ร้องนำ เบส) Phil Somervell (กีตาร์) และ Matt Osment (แมท กลอง) ในชื่อวง Trinket ในเมืองเคมบริดจ์ นิวซีแลนด์ ก่อนจะได้ Chris Livingstone (คริส กีตาร์) มาร่วมวงต่อมา ซึ่งพวกเขาก็ชนะการประกวดวงดนตรีท้องถิ่น ก่อนจะเปลี่ยนชื่อวงเป็น The Datsuns จากยี่ห้อรถยนต์ที่เลิกกิจการไปแล้ว (หลายคนคงเกิดทันนะ) และพวกเขาก็ยืนหยัดเล่นเพลงฮาร์ดร๊อคคลาสสิกแบบที่ผสมระหว่างเสียงร้องแหลมสูงจังหวะที่เร็วกระชาก ริฟฟ์กีตาร์แน่นๆ และลีดกีตาร์สวยๆ ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ถูกยุคปลาย ’90 หมางเมินเอาได้ง่ายๆ (ก็คนมัวแต่เห่อnu-metal) แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ และยึดมั่นกับแนวทางที่พวกเขาชื่นชอบ
พวกเขาออกซิงเกิ้ลแรกในปี 2000 ชื่อ Super Gyration! ผ่านทางตราแผ่นเสียงของพวกเขาเอง ซึ่งมันเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยสปิริตของร๊อคแอนด์โรลจริงๆ โดยเฉพาะริฟฟ์กีตาร์สุดแน่นและเปี่ยมไปด้วยพลัง และท่อนลีดที่พลิ้วไหวราวกับว่ามือกีตาร์ลากนิ้วไปตามเรือนกายคนรักเลยทีเดียว แม้เพลงจะยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็ยังไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปนัก จนเมื่อเริ่มทัวร์ออสเตรเลีย ความบ้าคลั่งของพวกเขาก็ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นบ้าง และก็ทำให้พวกเขามีความกล้าพอที่จะตะลุยแดนอังกฤษ
พวกเขาเริ่มต้นการทัวร์อังกฤษด้วยการอาศัยนอนตามโซฟาบ้านคนโน้นคนนี้ แต่ยิ่งเล่นสดไปเรื่อยๆ สื่อดนตรีในอังกฤษก็เริ่มแห่เข้ามาดูพวกเขา จนกลายเป็นวงที่มาแรงสุดๆ แมวมองหลายค่ายต่างพากันแย่งตัวพวกเขา และในที่สุดพวกเขาก็ได้นอนโรงแรมพร้อมกับสัญญากับค่าย V2 ในอังกฤษ
และเมื่อได้ค่ายเพลง บวกกับการที่เป็นช่วงที่ดนตรีแนวดิบๆกร้านๆกำลังเป็นที่นิยม ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะเป็นวงที่สร้างสีสันแห่งยุค นอกจากแนวเพลงฮาร์ดร๊อคดิบๆแล้ว เสื้อเชิ๊ตลายดอกเล็ก กับกางเกงขาบาน รองเท้าบู้ทส้นสูง ทำให้พวกเขาแหวกแนวออกมา พอๆกับแนวเพลง ที่แม้จะเน้นความดิบ แต่พวกเขามาสายฮาร์ดร๊อค ต่างจากวงอื่นที่มาทางการาจพังค์ และเมื่อ The Datsuns ออกอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวง ในปี 2002 พวกเขาก็ร้อนแรงเกินกว่าใครๆ
The Datsuns เป็นอัลบั้มสั้นๆ ยาวแค่ 40 นาที กับ 10 เพลง แต่มันอัดแน่นด้วยจิตวิญญาณความเป็นร๊อคและความซ่าของวัยรุ่น พวกเขาไม่ได้เล่นเพลงร๊อคเพื่อโชว์ลีลายั่วสาวๆ แต่พวกเขาเล่นเพราะอย่างระเบิดอารมณ์ของตัวเองออกมา เพลงเด่นอย่าง MF (motherfxxker) from Hell นี่ ฟังเมื่อไหร่ก็สะใจเสมอ เช่นเดียวกับ You Build Me Up ที่กระชากมันสะใจ In Love ที่คอรัสประสานไปอย่างเมามัน และ Harmonic Generator ที่โจ๊ะจนเป็นเพลงเต้นเปิดฟลอร์ได้เลยทีเดียว และนั่นทำให้ The Datsuns กลายเป็นอัลบั้มที่ส่ง The Datsuns (งงมะ) ให้กลายเป็นวงมาแรงสุดๆในวงการอินดี้
และเป็นช่วงเดียวกับที่ผมได้ดูพวกเขาสดๆเมื่อมาทัวร์ที่ญี่ปุ่นในปี 2003 ซึ่งเล่นในไลฟ์เฮาส์ที่ไม่ใหญ่มาก แต่มันสะใจจริงๆครับ เท่าที่จำได้คือ ยืนเบียดอยู่แถวหน้าสุดและโยกไปกับเพลงของพวกเขาแบบไม่บันยะบันยะ พลังของเพลงพวกเขาแผ่ออกมาอย่างเต็มสูบจริงๆ แถมอังคอร์ไปซะ2 รอบ แต่โมเมนต์ที่สะใจสุดของผมคือเพลง MF from Hell ที่ในเพลงจะมีหยุดเงียบไปช่วงหนึ่งแล้วตะโกนว่า Like a Motherfxxker from Hell ซึ่งพอเล่นสด ตอนที่พวกเขาเงียบ ทั้งฮอลล์กลับเงียบตาม จนผมอยู่หน้าเวทีตะโกนประโยคดังกล่าวออกมาดังๆคนเดียว แล้ว ดอล์ฟ ก็หันมาจ้องหน้าผมแล้วบอกว่า Yeah, Like a Motherfxxker from Hell เล่นสะใจสุดๆ แถมคอนเสิร์ตจบพวกเขายังออกมาพูดคุยกับแฟนๆ ทำให้ได้ถ่ายรูป ขอลายเซ็นและคุยกับสมาชิกครบทั้งวงจริงๆ ยิ่งกว่าแพคเกจมีทแอนด์กรีทอีกครับ
และเมื่ออัลบั้มแรกประสบความสำเร็จ คนก็ต่างเฝ้ารออัลบั้มที่สองอย่างใจจดใจจ่อ และยิ่งทราบข่าวว่า พวกเขาได้มอบหน้าที่โปรดิวเซอร์กับ John Paul Jones มือเบสในตำนานแห่ง Led Zeppelin ยิ่งทำให้ทุกคนคาดหวัง แต่เมื่อ Outta Sight, Outta Mind ออกวางขายในปี 2004 กลับเป็นความผิดหวัง เพราะเพลงของพวกเขาคลีนขึ้น แน่นขึ้น แต่กลับขาดความเกรียนและพลังพลุกพล่านแบบที่เคยมีในอัลบั้มก่อน บวกกับการที่มีวงแนวเดียวกันที่ ดังกว่า แรดกว่า และทำเพลงแบบย้อนยุคจริงๆกว่าอย่าง The Darkness ออกมา ทำให้พวกเขาติดอยู่ในเงาของอดีตไปเสีย ทำให้งานเพลงของพวกเขากลายเป็นงานจืดๆไป ซึ่งก็ยังส่งผลตามมายังงานต่อมาอย่าง Smoke & Mirrors ในปี 2006 และ Head Stunts ในปี 2008 ที่แทบไม่มีอะไรน่าจดจำมากนัก และบวกกับกระแสของวงที่ดังในช่วงต้นปี ’00 เริ่มซาลง หลายวงก็เงียบหายไป และ The Datsuns ก็เป็นอีกวงนึงที่ผมคิดว่า คงจะจบแล้วล่ะ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นครับ
พวกเขากลับมากับอัลบั้มใหม่ Death Rattle Boogie ในปีนี้ ซึ่งผมก็ลองฟังในฐานะแฟนเพลงเก่า แต่กลายเป็นว่า มันคืองานที่เด่นที่สุดของพวกเขาตั้งแต่ The Datsuns มาเลย โดยมันตั้งแต่เพลงเปิดตัว Gods Are Bored ที่ทั้งอัดหนัก ทั้งติดหู เหมือนกับพวกเขาดึงเอาเสน่ห์ในแบบของตัวเองกลับมาได้อย่างงดงาม ผสมความดิบเข้ากับประสบการณ์ได้ลงตัวเอามากๆ จนเหมือนได้กลับไปสมัยเขารุ่งๆ แต่ละเพลงอัดด้วยริฟฟ์สวยๆให้ได้โยกหัวตามตลอดอย่าง Gold Halo หรือ Hole In Your Head ที่มันสุดๆ Skull Full Of Bone ก็มีจังหวะเท่ให้ได้โยกย้ายตาม Wander The Night ก็มีกลินของไซคีเดลิกมาเจือด้วย จนทั้งอัลบั้มกลายเป็นงานเพลงที่อัดได้อย่างเมามันจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าวงที่เราคิดว่าจบไปแล้ว จะกลับมาได้อย่างงดงามขนาดนี้ จนบอกตรงๆว่า อัลบั้มล่าสุดของพวกเขาเป็นงานที่ไม่ควรพลาดฟังจริงๆ เสน่ห์ของดนตรีฮาร์ดร๊อคยังคงอยู่เสมอครับ
No comments:
Post a Comment