ช่วงที่ผ่านมา ผมติดการ์ตูนเรื่องนึงเอามากๆ คือ โอตาคุน่องเหล็ก ที่เพื่อนในสำนักพิมพ์แนะนำให้อ่านตลอด แต่ผมก็เบะปากใส่ เพราะติดว่า ไม่มีการ์ตูนจักรยานเรื่องไหนจะสู้เรื่อง สิงห์นักปั่น ไปได้ เพราะว่าเรื่องนั้นอ่านทีไร ก็ประทับใจ และเล่นเอาเหนื่อยทุกครั้ง
แต่พอเริ่มคิดจะกลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง เลยลองไปหาเรื่อง โอตาคุน่องเหล็ก มาอ่านเพื่อปลุกแรงใจตัวเองหน่อย กลายเป็นว่า สนุกกว่าที่คิดแถมมีทริคเล็กทริคน้อย แนะนำคนปั่นจักรยานได้เป็นอย่างดี กลายเป็นการ์ตูนอีกเรื่องที่ติดงอมแงมเลย และทำให้ได้รู้ว้า ความสุขของการปั่นจักรยานมันอยู่คู่ตัวผมมาตลอดจริงๆ
มองย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ถ้าไม่นับจักรยานคันแรกที่ใช้หัดปั่นกับพี่สาวแล้ว จักรยานคันแรกของตัวเองคือ BMX สีแดงสด ยี่ห้อ ไพโอเนียร์ ที่ได้มาตอนน่าจะป. 4 ความทรงจำของผมตอนนั้นคือ เพื่อนหลายคนเล่นจักรยานแพงๆ แต่ที่ได้มา มันไม่ไฮโซเท่าเพื่อน เล่นท่า ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ดีที่ได้มีพาหนะให้ออกจากบ้านได้อย่างอิสระเสรี ตอนนั้นทุกเสาร์อาทิตย์มักจะใช้จักรยานคันดังกล่าวปั่นไปรวมกลุ่มเป็นแกงค์ BMX กับเพื่อนๆ แล้วปั่นไปเล่นเรื่อย ตามคลองส่งน้ำแถวบ้าน แม้มันจะไม่หรูหราเหมือนพวก ฮาโร่ หรือ GT ที่เพื่อนปั่น แต่มันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี มีแค่ครั้งเดียวที่ชวนเสียวคือ เพราะที่ล๊อคคอมันไม่ได้แน่นหน้าเหมือนกับจักรยานแพงๆ ตอนนั้นปั่นกระโดดทีเล่นกับเพื่อน แต่ตอนลงมา แฮนด์กลับพลิกคว่ำไปด้านหน้าเพราะที่ยึดมันยึดไม่อยู่ เล่นเอาหวิดคว่ำเหมือนกัน จากนั้นเลยไม่กล้าเล่นหวาดเสียวกับมันอีกเลย
พอเข้ามัธยม ตอนนั้นโฆษณาทัวีของจักรยานแพนเธอร์ชวนตื่นตาตื่นใจมาก เพราะเขาบอกว่าเป็นจักรยานมีเกียร์ ห้าสปีด โดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จริงๆแล้ว จักรยานรุ่นใหญ่มันมีเกียร์หมดล่ะ พอตัวเริ่มโตขึ้นด้วย เลยขอให้พ่อซื้อให้ตอนนั้น เป็นจักรยานเสือภูเขาตามแบบที่ฮิตกันตอนนั้น ราคาน่าจะสองสามพันได้ (ตอนนั้นนะ) ถือว่าคันใหญ่ มั่นคง มีเกียร์ให้สับเล่น สีแดงดำ ขนาดใหญ่ขึ้นมาก เลยทำให้การปั่นจักรยานกลายเป็นความสนุกสุดๆในตอนนั้น ผมปั่นไปหลายๆที่ในเมืองขอนแก่นเลย บางครั้งไปถึงมหาลัยขอนแก่นเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้กลัวร้อนกลัวอะไรเลย แล้วก็ยังใช้ปั่นไปเรียนพิเศษเป็นประจำ เรียกว่าสะดวกที่มีพาหนะของตัวเองจริงๆ
ตอนนั้นเริ่มได้อ่าน สิงห์นักปั่น ทำให้ความสนใจจักรยานโรด หรือเสือหมอบเพิ่มมากขึ้น และยิ่งมันเป็นเรื่องที่สนุกสุดๆ เล่นเอาเพิ่มแรงบันดาลใจในการปั่นได้เป็นอย่างดี และอยากจะไปปั่นโรด แต่ว่า สำหรับเด็กต่างจังหวัดนี่ แทบจะเป็นเรื่องในฝันครับ ร้านจักรยานในขอนแก่น ก็ไม่มีจักรยานโรดสำหรับการแข่ง มีแต่เสือหมอบตราจระเข้ อุปกรณ์ก็ไม่มี พอได้มาที่กรุงเทพ เห็นราคาแล้วก็แหยงครับ แต่ละคันราคาสองหมื่นอัพทั้งนั้น (ค่าเงินเมื่อยี่สิบปีก่อนเลยนะ สองหมื่นนี่ทำอะไรได้เยอะมาก) ไม่ไหวจริงๆ แต่ความบ้าก็ไม่หมดหรอกครับ ตอนนั้นได้โปรแกรมคอมชื่อ สาราณุกรมจักรยาน ของ เกร็ก เลมอนด์ แชมป์ตูร์เดอฟรองค์ชาวอเมริกันคนแรก ก็เอามานั่งดู งงๆ เพราะภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ แต่ดูแล้วก็ยิ่งอยากปั่นมากยิ่่งขึ้น
พอตอนม.3 ก็เหมือนจะมีโอกาส เมื่อมีโครงการปั่นจักรยานเพื่อการกุศล โดยปั่นเป็นทีม ทีมละสี่คน สลับกันปั่น ระยะทางเท่าไหร่ ผมจำไม่ได้นะ แต่จะมีจักรยานให้เลย เป็นโครงการของมหาลัยขอนแก่น ผมกับเพื่อนก็ไปสมัครนะ แต่ถูกปฏิเสธ เพราะว่า เด็กเกินไป ก็ได้แต่จ๋อยกลับบ้าน แต่ดีที่ พอจบงานนั้น จักรยานที่ใช้ในงาน ถูกรวมเอามาเก็บไว้ที่งานกิจการนักศึกษา แล้วเอามาปล่อยขายเลหลังถูกๆ แบบถูกจริงๆ เพราะคันละสองพัน แต่พอไปดู ก็ต้องเกากบาลที เพราะว่า กองกันไว้เต็มกองกิจการนักศึกษายังกับเศษเหล็ก ทำให้รู้สึกว่าใช้ทรัพยากรได้อย่างสิ้นเปลืองไร้สาระจริงๆ
แต่จุดนั้นก็ทำให้ผมได้โอกาศปั่นจักรยานโรดแบบมือใหม่เป็นครั้งแรกจริงๆ จักรยานที่ได้มากคือ เพกาซัส สีขาว คาดฟ้าอ่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฟรมทำจากอะไร แต่ชุดเกียร์ของชิมาโน่ ก็โอเคล่ะวะ ทีใหม่มากสำหรับผมตอนนั้นคือ บันไดถีบมีสายรัดที่ต้องล๊อคตอนปั่น กว่าจะชินก็ลำบากเหมือนกัน แต่ก็สนุกมากครับ ด้วยความที่มันเบา ทำให้ปั่นเร่งความเร็วได้ดีขึ้น แบกไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้นมาก แถมล้อทั้งสองมีกิ๊บให้ถอดล้อได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นเหมือนได้ปีกคู่ใหม่มาเลย เพราะโร้ดมันปั่นสบายจริงๆ ขอนแก่นยังไม่จอแจมาก ทำให้ปั่นได้เรื่อยๆ ยาวๆ แต่เคยมีปัญหาครั้งนึงคือ ล้อเรียวๆของโรดตกเข้าไปในตะแกรงปิดท่อระบายน้ำ ตีลังกาไปพร้อมทั้งคนทั้งรถมาแล้ว เล่นเอาแผ่นหลังถลอก แต่ถึงจะสนุก ผมก็ไม่ได้ปั่นเจ้าโรดคันนั้นมากนัก เพราะเริ่มใช้รถยนต์มากกว่า แรดมากกว่าเดิม โรดเลยถูกจอดไว้เหงาๆที่บ้าน มีเอามาปั่นบ้่าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยอะไร
จนได้กลับมาใช้จักรยานจริงๆจังๆอีกทีก็ช่วงเรียนที่ญี่ปุ่น ตอนย้ายไปอยุ่ที่ทาจิมิ จังหวัดกิฟุ เพราะว่าต้องไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง แล้วบ้านแฟนตอนนั้นก็ใจดี ให้ยืมจักรยานแม่บ้านมาใช้ก่อน แต่ถึงจะเป็นจักรยานแม่บ้าน ก็ไม่ใช่โค้งๆหนักๆแบบเฟสสันล้านเรา แต่เป็นเหมือนเสือภูเขาสำหรับผู้หญิง แต่ล้อเล็ก โครงเหล็ก หนัก แต่ก็ปั่นได้เพลินๆ แต่ก่อนชอบปั่นไปนั่งกินข้าวเย็นไป อ่านหนังสือไปที่ร้านอาหารที่แฟนทำงานพิเศษอยู่ ไปกลับรวม 20 โล ปั่นสบายๆตอนกลางคืน เพลินดีเหมือนกัน ตอนย้ายจากทาจิมิ ไปอยู่ที่ นิชชิน (ตะวันออกของนาโกย่า) ก็เอาไปด้วย แต่เรียนได้เทอมเดียว ก็เลิกกัน เลยต้องคืนให้เค้า ตอนนั้นเค้าอยุ่ที่ อิจิโนะมิยะ จะคืน ถ้าไม่ส่ง ก็ต้องปั่นไปเอง เลยตัดสินใจ ประหยัดเงิน และโชว์พาวด้วยการปั่นไปคืน ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าไกลแค่ไหน ดูแผนที่แล้วก็ไปเลย ปั่นสามชั่วโมงกว่าไปตามถนนขึ้นๆลงๆในนาโกย่า มาดูตอนนี้ วัดด้วยกูเกิ้ลแมพ ล่อไป 33 กิโลเลย ใกลสุดที่เคยปั่นมาในชีวิตแล้วล่ะมั้งตอนนั้น ก็กลายเป็นว่า บ๊ายบายทั้งจักรยานคันนั้น ทั้งชีวิตรัก
แต่ยังไง การใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ก็ขาดจักรยานไม่ได้ เลยไปซื้อมาคันนึงที่ห้างแถวบ้าน เป็นจักรยานเสือภูเขาเลียนแบบแบบ full-suspension ทั้งโช๊คหน้าหลัง ก็ซื้อเพราะว่าคิดว่าแรดดี ถูกด้วย แค่ หมื่นห้าพันเยน หรือห้าพันกว่าบาท เลยซื้อมาปั่นซะ ก็ใช้ได้ไม่เลวครับ แต่มันหนักเอามากๆ ใช้ทำอะไรไม่ได้จริงๆ หนักเกินทน ตามราคา สมกับที่บอกว่าเลียนแบบ เพราะมันเหมือนแค่รูปร่าง แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ต่างกับจักรยานเสือภูเขาของจริงแบบลิบลับ ใช้ได้แค่ปั่นไปเรียน ไปซื้อของ ไปทำงานพิเศษ เท่านั้นล่ะ นานๆได้ปั่นไปออกกำลังกายเล่นในนาโกย่าบ้าง แต่พูดตรงๆแล้ว ออกจะหนักไปในทางใช้สอยเป็นหลักมากกว่า
จนพอกลับมาเมืองไทย มาอยู่กรุงเทพ ก็ไม่มีโอกาสได้แตะจักรยานเลย เพราะว่า อย่างที่รู้กันว่า รถในกรุงเทพอันตรายแค่ไหน แต่ไปๆมาๆ ความอยากปั่นมันก็กลับมาด้วยสาเหตุหลักคือ 1. พอเริ่มใช้มอเตอไซค์ในกรุงเทพแล้ว ก็เริ่มชินกับการจราจร จนไม่คิดว่าน่ากลัวแล้ว 2. ราคาจักรยานเริ่มถูกลง เพราะคนนำเข้าเยอะขึ้น ไม่ได้ผูกขาดเหมือนแต่ก่อน ที่ สมัยผมม.ต้น ราคาคันละสองหมื่น ตอนนี้ต่่ำกว่าอีก ทั้งๆที่ค่าครองชีพโดดขึ้นแค่ไหนแล้ว 3. ตอนที่ไปถ่ายรายการที่หลวงน้ำทา ที่ลาว มีช่วงที่ต้องปั่นจักรยานด้วย ซึ่งเราก็ไปเช่าจักรยานแถวนั้นมาปั่น และกลายเป็นว่า มันช่างสนุกจริงๆ เรียกเอาความสนุกในวัยเด็กกลับมาได้หมดเลย เลยตัดสินใจซื้อจักรยานเสือภูเขากลับมาปั่นอีกรอบ หลังจากหาข้อมูลนู่นนี่มานาน ก็มาลงท้่ายที่ Trek 4300 รุ่นปี 2012 คันนี้ล่ะครับ แล้วเดี๋ยวคราวหน้าค่อยมาว่ากันเรื่องประสบการณ์กับจักรยานคันนี้อีกทีนึง
ปล. โพสนี้ร่างไว้นานแล้วล่ะ แต่พึ่งมามีเวลาเกลาก่อนอัพ
No comments:
Post a Comment