หลังจากการระเบิดของเทรนด์ Garage Revival และการดังเป็นพลุแตกของ the White Stripes ก็ได้มีวงหลายวงที่กลับไปหาความดิบกร้านของดนตรี และตั้งวงโดยไม่ได้สนใจว่าจะต้องเป็นกลองกีตาร์เบสแบบเดิม แต่กลับใช้เครื่องดนตรีเพียงสองชิ้น เช่นกีตาร์และกลอง หรือ เบสและกลอง โดยวงประเภทดังกล่าวที่คลานตาม The White Stripes มาก็เช่น Whirlwind Heat, Two Gallant, Death From Above 1979 และอีกวงที่พลาดไม่ได้คือ The Black Keys วงสองชิ้นที่กร้านด้วยกลิ่นบลูส์
The Black Keys คือการรวมตัวของสองเพื่อนจากวัยเด็ก Dan Auerbach (แดน กีตาร์ ร้องนำ) และ Patrick Carney (แพทริค กลอง) ทั้งสองโตมาจากละแวกบ้านเดียวในโอไฮโอ สหรัฐ ตั้งแต่เล็ก และเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่ทั้งสองคนกลับเป็นเหมือนคนล่ะขั้ว แดนเป็นกัปตันทีมบอลโรงเรียน ขณะที่แพทริคกลับเป็นเด็กเงียบๆสันโดษ ทั้งสองเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ก็ลาออกทั้งคู่
การตั้งวงของพวกเขาเกิดจากความบังเอิญจริงๆ แดนพยายามจะเป็นศิลปินออกแสดงตามบาร์ต่างๆ แต่เขาพบว่าถ้าอยากแสดงในต่างเมืองต้องส่งเดโมไปให้ฟังดูก่อน เขาเลยวานแพทริคมาช่วยอัดเสียงให้ เพราะเขามีเครื่องอัดเทป4แทรค และเคยแจมกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ว่า นักดนตรีคนอื่นที่แดนวานไว้กลับไม่มา ทำให้เขาทั้งสองตัดสินใจแจมกันทั้งอย่างนั้น โดยเล่นเพลงบลูส์สารพัด จนตัดสินใจเริ่มต้นต้งวงด้วยกันและผลิตเดโม6เพลงออกมา และส่งไปตามค่ายเพลงต่างๆ จนได้เซ็นสัญญากับค่ายอินดี้
ในปี 2002 พวกเขาก็ได้ออกงานชุดแรกคือ The Big Come Up งานเพลงบลูส์ที่แสนจะดิบและกร้านยิ่งหนัก เสียงร้องที่แหบห้าว และกีตาร์ที่แตกพร่าของแดน เข้ากับจังหวะที่ผลิตจากเสียงกลองของแพทริคเป็นอย่างดี ความดิบจากการอักเสียงแบบง่ายๆแพร่ไปทั่วทั้งอัลบั้ม แม้หลายเพลงจะเป็นเพลงคัฟเวอร์ รวมทั้งสองซิงเกิ้ลอย่าง Leavin’ Truck และ She Said, She Said แต่เพลงของพวกเขาก็มีเสน่ห์ที่น่าสนใจชวนฟังจริงๆ หาใครต้องการเสพเสียงกีตาร์แล้ว ไม่ควรพลาดงานเปิดตัวชิ้นนี้เป็นอย่างยิ่ง เพลงโปรดส่วนตัวของผมคือ Countdown ที่เท่แบบย้อนยุคเอามากๆ
แม้งานเปิดตัวจะไม่ประสบความสำเร็จในยอดขาย แต่มันกลับเป็นที่ฮือฮาในวงการนักฟังเพลง ทำให้พวกเขาได้สัญญากับค่ายใหญ่ขึ้น และได้ออกอัลบั้มต่อมา Thickfreakness ในปี 2003 ซึ่งก็ได้อัดเพลงเด็ดๆอย่าง Have Love Will Travel เพลงเด่นที่เขาคัฟเวอร์จากเพลงเก่าของ Richard Berry ออกมาได้อย่างสุดเท่ Set You Free ที่โดดเด่นด้วยท่อนริฟฟ์ และงานชุดนี้ก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงการมากขึ้น
แต่ปัญหาคือ พวกเขาถูกนำไปเทียบ และกระทั่งถูกกล่าวหาว่าลอกเลียน The White Stripes เพราะว่าเป็นวงเครื่องสองชิ้นที่เล่นเพลงบลูส์การาจเหมือนกัน มาจากย่านเดียวกัน และมีสีในชื่อวงเหมือนกัน ทำให้พวกเขามักจะถูกดูแคลนโดยแฟนเพลงของ WS แต่พวกเขาก็สามารถสร้างฐานแฟนเพลงของตัวเองไว้ได้ไม่น้อย
พวกเขากลับมาอีกครั้งในปี 2004 กับงาน Rubber Factory ที่ไปอัดเสียงในโรงงานร้างในบ้านเกิดของพวกเขา และมันก็ยังคงความดิบกร้านแบบบลูส์ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เพลงที่ไม่ควรพลาดคือ Girl Is On My Mind ที่มีท่อนริฟฟ์ดิบๆสะใจ กับ 10 A.M. Automatic ที่ติดหูไม่น้อย แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เพลงของพวกเขากลับไม่ได้รับความนิยม และต้องเริ่มยอมให้โฆษณาต่างๆใช้เพลงของพวกเขา ทั้งที่พวกเขาเคยค้านแนวคิดนี้มาก่อน
ต่อมาพวกเขาได้ย้ายค่ายและออกงานชุดใหม่ Magic Potionซึ่งเป็นงานชุดแรกของพวกเขาที่เป็นเพลงออริจินอลทั้งหมด แม้จะย้ายมาค่ายใหญ่ขึ้น แต่เพลงของพวกเขาก็ยังคงความดิบกร้านเหมือนเดิม
ต่อมา พวกเขาได้ไปร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง Danger Mouse ที่กำลังทำงานให้ Ike Turner แต่เมื่อ Ike เสียชีวิตก่อน ทำให้ The Black Keys นำเพลงที่ทำให้ Ike มาปรับปรุงและวานให้ Danger Mouse มาช่วยโปรดิวซ์แทน และกลายเป็น Attack & Release ในปี 2008 งานเพลงที่ขายดีที่สุดของพวกเขา และมันพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ยึดติดแค่เพลงบลูส์เท่านั้น แต่ยังสามารถจับแนวเพลงอื่นมาผสมผสานเข้าไปอีกด้วย ด้วยฝีมือของ Danger Mouse ทำให้งานสามารถคงความเท่ไว้ แต่สามารถเข้าถึงนักฟังเพลงทั่วไปได้ง่ายขึ้นด้วย เพลงเด่นที่ไม่ควรพลาดคือ Remember When (Side B)
หลังจากนั้น แดนได้ออกงานเดี่ยวหนึ่งชุด และพวกเขากลับมาอีกครั้งกับ Brothers ในปี 2010 ซึ่งพวกเขากลับมาทงานด้วยตัวเองอีกครั้ง ทำให้ซาวด์กลับไปสู่รากของแนวดนตรีของพวกกเขา ดูตัวอย่างที่ชัดได้จาก Tighten Up หรือ Next Girl แต่ก็ยังมีเพลงอย่าง Never Give You Up ที่ฉีกออกไป และในตอนนี้ พวกเขาสามารถสร้างชื่อเสียงของตนเองได้ชัดเจนและโดดเด่น จากที่เคยถูกมองว่าแค่เลียนแบบ The White Stripes แต่ในช่วงที่ WS หายไปนาน พวกเขาเข้ามาเติมเต็มความต้องการตรงนั้นได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นวงที่มีเพลงถูกนำไปใช้ในโฆษณาหรือภาพยนต์มากที่สุดเลยทีเดียว และ Brothers ก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง (ซะที) โดยทั้งเพลงและอัลบั้มได้เข้าชิงและชนะรางวัลแกรมมี่อีกด้วย
พวกเขาติดตามความสำเร็จอันยอดเยี่ยมด้วย El Camino งานเพลงที่ออกมาในปลายปี 2011 และพวกเขาก็ดึงเอา Danger Mouse กลับมาร่วมอีกครั้ง ทำให้ได้งานที่ดิบและโลไฟในแบบที่พวกเขาต้องการ และขอบข่ายของงานเพลงของพวกเขาก็กว้างยิ่งขึ้นไปอีก ซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง Lonely Boy นอกจากจะเด่นด้วยเสียงเพลงบลูส์แบบโจ๊ะๆแสนจะติดหูแล้ว ยังได้ MV ที่แสนฮาเข้าไปอีก อีกเพลงที่เด่นไม่แพ้กันคือ Gold On The Ceiling ที่มากับท่อนริฟฟ์สุดมัน ส่วน Sister ก็น่าจะเป็นฝีมือของ Danger Mouse เพราะจังหวะออกจะเป็นดิสโกโลไฟแบบชัดเจนมากๆ ขณะที่ Stop Stop ก็ได้จังหวะแบบ Motown เข้ามาผสม กลายเป็นว่า El Camino คืองานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม มันเหมือนการเดินทางไกลแล้วหยิบเอาอิทธิพลจากถิ่นที่ได้ไปเยือนมาใส่ในงานเพลงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจังหวะจาก Motown แผ่นเสียงเพลงดิสโกเก่าๆ ออร์แกนเก่าๆ และบาร์ที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ จน El Camino กลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นที่สุดของเลยก็ว่าได้
The Black Keys ใช้เวลาเนิ่นนานมาก กว่าที่พวกเขาจะได้รับการยอมรับเสียที แต่ในที่สุด การทำงานหนักและมุ่งมั่นก็ออกผลให้พวกเขาแล้ว
No comments:
Post a Comment