จั่วหัวแบบนี้ แน่นอนครับว่า ครั้งนี้ นอกเรื่องอีกแล้ว เรื่องของเรื่องคือ เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ไปที่กัมพูชาเพื่อถ่ายทำรายการ ASEAN Journey ซึ่งจะแนะนำประเทศต่างๆในอาเซียน โดยจะออกอากาศเวลา 21.00 น. ทางช่อง NBT ทุกวันอาทิตย์ครับ เมื่อวานออกเทปแรกที่ถ่ายที่ลาวไปแล้ว (พื้นที่โฆษณา) และก็ไปกัมพูชาเพื่อถ่ายทำรายการ เลยอยากเอาประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังครับ
ผมไปกัมพูชาครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน โดยไปแต่ที่เสียมราฐ เพื่อไปดูนครวัดเท่านั้น ครั้งนี้ เลยเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นเมืองหลวงอย่างพนมเปญและเมืองท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่สีหนุวิลล์ เล่นเอาตื่นเต้นก่อนเดินทางไม่น้อยครับ สายการบินบางกอกแอร์พาเราเดินทางจากกรุงเทพถึงสนามบินพนมเปญในเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ พอเดินในสนามบิน ก็จัดว่าไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ออกแบบได้น่าสนครับ ทำแบบโล่งๆแบบบ้านทางเอเชีย ทำให้รู้สึกเย็นสบาย และออกเดินทางจากสนามบินมานานก็ถึงตัวเมืองโดยใช้ถนนที่น่าจะดีที่สุดแล้ว เนื่องจากเป็นถนนตรงจากสนามบินสู่ทำเนียบรัฐบาลและสำนักนายกฯเลย ซึ่งอาคารทั้งสองใหม่และออกแบบได้โดดเด่นน่าตื่นตามากครับ ยิ่งพึ่งเสร็จงานประชุม ASEAN หมาดๆ จึงยังเหลือการตกแต่งต่างๆอยู่
ส่วนในตัวเมือง คงเป็นเพราะการวางผังเมืองในยุคอาณานิคม ทำให้เมืองถูกจัดระเบียบได้ไม่เลว และการที่มันอยู่ติดแม่น้ำใหญ่ ทำให้มีถนนเลียบน้ำ และตกเย็นก็มีคนมาทำกิจกรรมสารพัดครับ เป็นเมืองที่ค่อนข้างชิลเหมือนกัน ริมแม่น้ำมีอาคารแบบเฟรนช์โคโลเนียลที่ผมหลงไหลมากๆอยู่เต็มไปหมด ลักษณะระเบียงกว้าง เพดานสูงนี่มันเหมาะกับเมืองเขตร้อนจริงๆ ตกเย็นก็มีคนมานั่งชิลที่ระเบียงเต็มไปหมด อาคารที่สร้างใหม่ ก็พยายามรักษาจุดเด่นนี้ไว้ กลายเป็นความอิ่มทางสายตาจริงๆครับ อาคารสูงก็มีไม่มาก ที่สูงจริงๆมีแค่สองแห่งเอง
ที่พนมเปญ ผมเจอคนกัมพูชาที่พูดไทยได้ไม่น้อยเลยครับ พอเห็นว่าเป็นคนไทย ก็เข้ามาคุยทักทายสบายๆ ไม่ได้หวังอะไร เท่าที่ได้คุย แต่ก่อน โรงเรียนภาษาไทยมีคนเรียนเยอะมาก ก่อนจะเริ่มมีปัญหาทางการเมืองกัน ตอนนี้ คนพูดไทยได้เลยเป็นคนที่ค้าขายกับคนไทยซะมากกว่าครับ
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวหน่อยๆ คือ สำรวจรอบเมืองแล้ว เห็นต่างชาติเข้ามาลงทุนในกัมพูชามาก ไม่ว่าจะเป็นจีนที่มาสร้างถนนสะพานให้ ส่วนเกาหลีรุกทางวัฒนธรรมไม่น้อยครับ มีศูนย์วัฒนธรรมที่ใหญ่โต และหาโรงเรียนภาษาเกาหลีได้ง่ายมาก รถยนต์เกาหลีก็เริ่มตีตลาดทางนั้นเช่นกันครับ หลายคนคงมองว่าเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสโตขึ้นไปอีก
ส่วนเรื่องดนตรี ตลาดเพลงกัมพูชาก็เปิดกว้างเหมือนกันครับ มีศิลปินกัมพูชาไม่น้อย ทั้งเพลงป๊อป ร๊อค บางทีทำนองอาจจะคุ้นๆบ้าง ฟังอยู่ดีๆก็งงว่า ทำไม Bruno Mars ร้องขแมร์ได้ เพลงฮิปฮอปก็มีครับ สอยมาลองฟังดู ภาษาเค้าเหมาะกับการรัวจริงๆ
ไปงวดนี้ ได้เห็นพนมเปญผ่านสามยุค คือ ยุคอาณานิคม ยุคเขมรแดงผ่านทุ่งสังหารและเรือนจำS21กับกัมพูชายุคใหม่ที่กำลังก้าวไปสู่อนาคตเลยครับ
เสร็จจากกัมพูชา ก็ได้ไปที่สีหนุวิลล์ เมืองท่าและพักผ่อน ที่ว่ากันว่าเป็นเหมือนพัทยาของกัมพูชา ซึ่งเราใช้เวลา 4 ชั่วโมงโดยรถจากพนมเปญ ถ้าถนนดีกว่านี้ คงไวกว่านี้ล่ะครับ นี่2เลนตลอดทาง วิ่งๆหยุดๆ น่าเบื่อมากๆ พอถึงสีหนุวิลล์ ปากทางก็เจอโรงงานเบียร์ใหญ่เลย และพอได้เห็นทั้งท่าเรือ ทั้งหาด ก็ทำให้เข้าใจว่า ทำไมเหมือนพัทยา เพราะเป็นจุดรวมทั้งการท่องเที่ยวและธุรกิจนี่เอง เราเข้าไปในตัวเมือง ที่มีรูปปั้นสิงโตเป็นสญลักษณ์ตามชื่อของเมือง (สีหนุคือสิงห์) และพักที่แถบนั้น โดยที่โรงแรมมีคาสิโนอยู่ในโรงแรมด้วย
จากสามวันที่อยู่ที่สีหนุวิลล์ ทำให้ไม่แปลกใจว่า มีนักท่องเที่ยวไทยน้อยมากๆ โดยคนที่มาก็มักจะมุ่งหน้าไปเล่นคาสิโนเท่านั้น ส่วนเรื่องชายหาด ไม่ได้ต่างอะไรจากไทยเรานัก นักท่องเที่ยวส่วนมากจะเป็นหนุ่มสาวตะวันตกที่ต้องการหาสิ่งใหม่ๆมากกว่า ซึ่งก็สามารถสนุกได้ทั้งที่ชายหาดทั้งหลายที่เรียงรายอยู่ในเมือง หรือไปเดินป่าที่อุตยานแห่งชาติของเชาหรือล่องเรือชมป่าโกงกางก็ได้
เท่าที่ได้คุย ธุรกิจในเมืองกว่า 90% เป็นของชาวต่างชาติ โดยที่รัฐบาลค่อนข้างจะเปิดกว้างกับการลงทุนโดยช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่าอย่างมาก จนชาวต่างชาติสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ภายในไม่กี่วัน แต่อีกไม่นานคนกัมพูชาเองคงเริ่มลงทุนแข่งกันบ้าง และคงจะบีบชาวต่างชาติทีหลัง
ส่วนในตัวเมือง หลายหาดถูกสัมปทานไปโดยทุนต่างชาติเช่นกัน อย่างเช่นที่หาดวิคตอรี่ รัซเซียมาสัมปทานเกาะ Pos หรือเกาะงู แล้วทำสะพานข้ามไป เพื่อพัฒนาเป็นรีสอร์ตและคาสิโนต่อไป โดยเท่าที่เห็นโครงการแล้ว อีกไม่นานคงใหญ่เอาเรื่องครับ
แต่ปัญหาที่ตามมาคือ เหมือนกับว่ารัฐบาลพยายามอาศัยเอกชนเป็นหลัก แต่กลับไม่พยายามพัฒนาสิ่งอื่นๆให้ตามทัน เช่นถนนไปหลายเลนตามที่ได้พูดไปแล้ว หรือกระทั่งถนนไปหาดทั้งหลาย บางแห่งจัดว่าคุณภาพเลวร้ายมากๆ อีกเรื่องที่ได้ฟังจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้คือ อย่างอุทยานแห่งชาติ ไม่มีเงินช่วยเหลือจากรัฐ อุทยานหาเงินจากค่าเดินทางได้เท่าไหร่ ต้องแบ่งครึ่งเข้ารัฐ แล้วเงินที่เหลือค่อยเอามาบริหาร ทำให้สภาพของสำนักงานแย่มาก และรัฐบาลกลับสัมปทานพื้นที่ในอุทยานให้ต่างชาติมาทำคาสิโนต่างหาก ปัญหาอย่างนี้คงมีอีกเยอะที่เรายังไม่ทราบ
มองทั้งสองเมืองแล้ว ก็รู้สึกว่า กัมพูชาแม้จะยังมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอยู่มาก แต่เขาก็พยายามพัฒนาอย่างไม่ลดละ โดยอาศัยทุนต่างชาติเข้ามา จนต่อไป คงน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆจริงครับ
No comments:
Post a Comment