และแล้ว วันที่วง x-Japan อันเป็นที่รักยิ่งของชาวไทยทั้งหลายก็มาเปิดคอนเสิร์ตทันที ไม่เกริ่นยาวครับ เปลืองพื้นที่
วันที่ 7 เป็นวันที่ทางวงมาถึงไทย และก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวรอบดึก ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ตกใจนะครับ ที่ได้เห็นคนระดับนั้นใกล้ๆ เสียดายที่โทชิ ไม่มาด้วยเพราะไม่สะดวก คำถามโดยรวมก็พูดถึงความสัมพันธ์กับเมืองไทย โยชิกิให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าดีใจที่ได้มาเมืองไทย และเสียใจกับเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ว่า The Show Mus Go On และจะเล่นให้เต็มที่ สมกับที่แฟนเพลงคาดหวัง (แม้จะกดดันหน่อย) และพวกเขาก็ได้บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมถึง 500,000 บาท และยังมอบของส่วนตัวให้กับช่อง 3 เพื่อไปประมูลกาเงินช่วยน้ำท่วมอีกด้วย (เท่แล้วยังใจดี)
พอวันงาน ผมก็รีบบึ่งไปที่อิมแพค หลังจากเสร็จงาน โดยต้องจ่ายเงินให้แท็กซี่เพิ่ม เพราะเขากลัวน้ำท่วมจริงๆ แต่พอมาถึง ก็แห้งสนิท ไม่มีอะไร เจ๋งจริงๆครับ (ดีแล้ว กลัวเลิกมากๆ) คนเพียบครับ ผมก็ไม่มีเวลาทำอะไรมาก รีบไปรับตั๋ว หาอะไรยัดเอาแรงก่อน ไม่นานก็ต้องเข้าข้างในแล้ว ครั้งนี้ BEC-Tero เตรียมที่ให้ดีมากๆครับ ตรงกลางเลย ดูได้เพลิน
รอได้หน่อย คนก็เริ่มตะโกนเรียกร้องให้วงออกมา แล้วพอเพลงเปลี่ยนเป็นทำนองอลังการ พร้อมกับวิดิโอประกอบเริ่มต้นขึ้น เสียงกรี้ดก็ดังขึ้นแบบฮอลล์สะเทือนเลยทีเดียว บนจอก็ฉายรูปตัวอักษร X พร้อมกับแสงจากเบื้องบน แล้วเราก็ได้เห็นโยชิกิ ยืนภาวนากับแสงนั้นค้างไว้อย่างอลังการ ก่อนที่สมาชิกที่เหลือจะขึ้นมาบนเวทีและอัดเพลงดังอย่าง Jade ให้ปลุกอารมณ์แฟนๆทั้งฮอลล์ ทุกคนมาในมาดที่เท่แบบสุดๆสมกับที่แฟนๆรอคอยมาอย่างยาวนานจริงๆ
หลังจบเพลง โทชิก็ทำหน้าที่แทนสมาชิกวง กล่าวทักทายแฟนๆชาวไทย เป็นภาษาไทยง่ายๆอย่าง สวัสดีครับ รอนานมั้ย สบายดีมั้ย ก็ น่ารักดีครับ
หลังจากนั้น ก็ตามด้วยเพลง Rusty Nail ให้แฟนได้สะใจต่อ ก่อนที่จะไปที่เพลง Silent Jealousy ที่ก่อนเริ่มเพลง โยชิกิก็มาเดี่ยวเปียโนเรียกเสียงกรี้ดจากแฟนๆได้ไม่น้อยครับ
หลังจากจบเพลง ไฟก็มืดลง และเป็นเวลาของพาตะที่มาโชว์เทคนิคกีตาร์ด้วยกิบสันคู่ใจของเขา แล้วค่อยมี ฮีธตามมาแจม ก่อนที่โทชิจะเข้ามาและบรรเลงเพลง Drain ด้วยกันแค่ 3 คน ถือว่าแปลกดีเหมือนกันครับ
เมื่อเวทีสว่างอีกครั้ง ซูกิโซ ก็ยืนอยู่ที่ริมเวทีคนเดียว และบรรเลงไวโอลินเดี่ยวอย่างโดดเด่นก่อนจะตามมาด้วยโยชิกิที่เข้ามาเสริมด้วยเปียโน แล้วจึงเป็นเต็มวงและเริ่มเล่นเพลงดังอย่าง Kurenai ขอเสริมหน่อยว่า การเข้ามาร่วมวงของซูกิโซนี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากๆครับ เพราะนอกจากฝีมือจะเก่งแล้ว ลุคของเขายังเข้ากับวงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการกรีดกรายระหว่างเล่นที่เขาถนัดมาตั้งแค่อยู่ดับ Lunar Sea
จากนั้นพวกเขาก็ตามด้วยเพลง Born to be Free ที่โทชิบอกว่าเป็นเพลงใหม่ของพวกเขา ซึ่งสำหรับผมแล้ว รู้สึกว่าโครงสร้างของเพลงโดยเฉพาะท่อนคอรัสแตกต่างไปจากเพลงของพวกเขา แต่กลับทำให้ผมนึกไปถึงเพลงของบองโจวี่ซะมากกว่าครับ
หลังจากนั้น กลายเป็นช่วงแฟนเซอร์วิสอย่างเต็มที่เพราะโยชิกิ เล่นตีกลองกระหน่ำ สลับกับการเล่นเปียโน แล้วนังมีการไปนอนแอร๊ยยยบนเปียโนให้แฟนๆกรี้ดกันอีกด้วย เล่นไปซักพัก เขาก็เล่นเปียโนเพลง Fur Elise ให้ตกใจเล่น ก่อนจะไปกระหน่ำกลองและกลับมาเซอไพรซ์อย่างหนักด้วยการเล่นเพลงเดือนเพ็ญให้คนทั้งฮอลล์อึ้งแล้วค่อยนึกได้ว่าควรเริ่มร้องตาม ก็ประทับใจไปตามๆกันครับ (เท่าที่เช็คข้อมูล เห็นว่าโยชิกิจะเล่นเพลงดังของประเทศที่ไปทัวร์ครับ) ก่อนจะเริ่มเพลง I.V. และตามด้วยเพลงสุดท้าย X ที่ช่วงเบรกกลางเพลงยาวมากๆๆ โยชิกิวิ่งมาคว้าไมค์ตะโกน We Are ให้แฟนตะโกน X ตามอย่างมัน ก่อนจะหายไปหลังเวที
ซึ่งแน่นอนครับว่า ยังมีช่วงอังกอร์แน่ๆ แฟนก็รอกัน เล่นเวฟทั้งฮอลล์ ร้องเพลงด้วยกัน แต่เวลาก็ผ่านไปนานมากๆๆ (ผมยิงนกเล่น) แต่พอพวกเขากลับมา คนก็อึ้งไปหมด เพราะโยชิกิเล่นใส่ชุดสไบเฉียงออกมาเซอไพรซ์ กรี้ดกันไปอีกรอบครับ แล้วเขาก็พูดถึงเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงสมาชิกของวงที่จากไปอย่างฮิเดะและไทจิ เป็นช่วงเวลาที่อีโมชั่นนอลมากๆครับ และพวกเขาก็เล่นเพลง Forever Love ให้เราได้ประทับใจ ก่อนจะตามด้วยเพลงดังระดับตำนานอย่าง Endless Rain เสียงของโทชิไม่เสื่อมตามวัยเลยครับ ทึ่งมาก แล้วค่อยคั่นด้วยช่วงโซโล่ไวโอลินของซูกิโซอีกครั้งตามด้วยเปียโนโซโลของโยชิกิ ก่อนจะไปปิดท้ายด้วยเพลง Art of Life โดยที่แม้จะจบเพลงไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ลาเวทีเสียทีครับ ยืนทักทายแฟนเพลงซะนาน จบได้อย่างประทับใจจริงครับ เล่นเอาเกือบเที่ยงคืนเลยทีเดียว
ผมว่า ทุกคนที่ร่วมคอนเสิร์ตครั้งนี้ คงไม่มีใครบอกว่าผิดหวังเลยครับ เพราะพวกเขาเล่นได้สมกับที่เรารอคอยกันมานานเลยทีเดียว และแน่นอนว่า ถ้ามีครั้งหน้า ก็เต็มอีกแน่นอนครับ
ดูภาพได้ที่ Google Photos เลยครับ
บทความเก่า
No comments:
Post a Comment