สัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องของ Haim วงสามสาวพี่น้องที่รักกันดีไปแล้ว สัปดาห์นี้ เลยอยากเขียนเรื่องมุมกลับหน่อย เรื่องของศิลปินพี่น้อง ที่แยกตัวออกมากลายเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วรุ่ง ชายคนนั้นคือ Pusha T ดาวฮิพฮอพที่มาอีกคนหนึ่งในยุคนี้นั่นเอง
จุดเริ่มต้นของ Pusha T คือดูโอฮิพฮอพที่เขาจับมือกับ Malice พี่ชายตัวเองในชื่อ Clipse จากเวอร์จิเนียบีช เวอร์จิเนีย ตั้งแต่ต้นยุค 90 หรือพูดง่ายๆคือตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่นนั่นเอง ซึ่งเป็นโชคดีของพวกเขาที่ผลงานของพวกเขาไปเข้าตา Pharrell Williams หนึ่งในยอดโปรดิวเซอร์ทีม The Neptunes เจ้าของเสียงกลองและจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ และเขาตัดสินใจรับเอาสองพี่น้องมาดูแล และดันจนได้เซ็นสัญญาเข้าค่ายเพลง Elektra และออกซิงเกิ้ล The Funeral ในปี 1999 ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในวงการฮิพฮอพ ด้วยจังหวะที่โครมครามของมัน ตามสไตล์งานที่ The Neptunes โปรดิวซ์ เสียงกีตาร์แบบสเปนคลอไปเบื้อหลัง แซมเปิ้ลสุดหนัก และลีลาการแร๊พที่ไหลลื่นของ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาได้แค่กล่อง แต่ไม่ได้เงิน เพราะยอดขายของซิงเกิ้ลไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร ผลก็คือค่าย Elektra ตัดสินใจไม่ปล่อยงาน Exclusive Audio Footage ของพวกเขาออกขาย และยกเลิกสัญญากับพวกเขา
แต่คนมันจะดัง มันก็ต้องมีคนเห็นฝีมือนั่นล่ะครับ Pharrell ตัดสินใจว่า เมื่อค่ายเดิมไม่เห็นหัว เลยดันทั้งคู่เข้าค่าย Star Trak ของตัวเองที่เพิ่งตั้งใหม่ภายใต้สังกัด Arista อีกทีซะ และกลายเป็นตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม เพราะพวกเขาสร้างแฟนได้จากงานเก่า และเป็นช่วงมือขึ้นของ The Neptunes พอโปรดิวซ์ซิงเกิ้ล Grindin’ ให้กับ Clipse ด้วยจังหวะโครมคราม บวกเข้ากับการแร๊พอันไหลลื่นของ ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่พร้อมจะทำให้คนในคลับเต้นได้ตามอย่างเมามัน ส่วนซิงเกิ้ลต่อมา When Last Time ก็มาในจังชวนให้เต้นตามแบบฉบับของ The Neptunes (อีกแล้ว) ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงนั้นอยู่แล้ว ทำให้ทั้งสองเพลงกลายเป็นเพลงดัง ที่ส่งผลไปถึงอัลบั้มแรก Lord Willin’ ที่ถูกรอคอย และพวกเขาไม่ทำให้คนที่เชื่อมั่นผิดหวัง มันเปิดตัวในอันดับหนึ่งชาร์ตเพลง R&B/ฮิพฮอพ อย่างงดงาม และ Clipse กลายเป็นดูโอฮิพฮอพใหม่ที่มาแรง พวกเขาได้นำเสียงใหม่ๆเข้ามาในวงการเพลงฮิพฮอพ แม้จะมีความหนักและจริงจังแบบสายอีสต์โคสต์ แต่เพราะเซนส์ของเพลงพ๊อพ ทำให้มันไม่หนักเกินและกลับติดหูคนฟังได้
แต่จากที่อะไรดูสดใส เงามืดกลับเข้ามาอย่างกะทันหัน ค่ายโซนี่ บ้านใหญ่สุดของพวกเขารวมตัวเข้ากับ BMG (หลายคนคงทัน) พวกเขาหลุดจากบ้านเดิมอย่าง Arista/Star Trak ไปอยู่ค่าย Jive แทน ซึ่งนรกตามมาทันที เพราะ Jive เน้นศิลปินที่พ๊อพมากกว่า งานชุดต่อมาของพวกเขาจึงถูกดองแม้จะเริ่มเดินหน้าไปแล้ว
พวกเขาโมโหทะเลาะกับค่ายเพลง ขอลาออก แต่ก็ไม่ได้ผล เลยตัดสินใจฟ้องค่ายและตั้งค่ายเพลงของตัวเอง ออกเพลงของพวกเขาเองกับเพื่อนในนาม The Re-Up Gang ก่อนที่จะเคลียร์กันรู้เรื่องและในที่สุด Hell Hath No Fury ได้ออกวางขายในปี 2006 แน่นอนว่า ลูกพี่ที่รักอย่าง The Neptunes ก็ยังคงมาโปรดิวซ์ให้พวกเขาเช่นเคย ซึ่งหมายความว่า พวกเขาก็ยังคงได้ทำงานเพลงในแบบที่เป็นจุดแข็งของพวกเขาตลอด และมันก็มีเพลงเด่นอย่าง Wamp Wamp (What It Do) ที่เพอคัชชั่นในเพลงรัวโหดราวกับหลุดมาจากแอฟริกาหมาดๆ อีกเพลงเด่นที่ผมชอบคือ Momma I'm So Sorry ที่โฟลว์ของพวกเขามันไหลลื่นจริงๆ และ HHNF ก็เป็นงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เพลงเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่มันไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนัก และพวกเขาก็ถูกปล่อยตัวไปอยู่ค่ายใหม่ Columbia
พวกเขาออกงานใหม่ Til The Casket Drops ในปี 2009 ซึ่งแทนที่จะร่วมงานกับ The Neptunes อย่างเดียว พวกเขาได้ P. Diddy มาช่วยโปรดิวซ์เพื่อขยายขอบเขตงานของพวกเขา ทำให้ได้ซาวด์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่ชัดคือ There Was A Murder ที่บีทบวมเอามากๆ และ Kinda Like A Big Deal ที่ร่วมงานกับ Kanye West ก็กลายเป็นงานเพลงของ Kanye ไปซะงั้น ขณะที่ I’m Good ซิงเกิ้ลแรกที่ได้เสียงนุ่มของ Pharrell มาช่วยหนุนก็เป็นเพลงที่ฟังได้สบายแม้จะมีจังหวะหนักราวกับค้อนปอนด์ประกอบอยู่เบื้องหลัง เหมือนดวงไม่ดี เป็นอีกครั้งที่งานของพวกเขาได้รับคำชมมากกว่ายอดขาย และก็เป็นจุดที่พวกเขาตัดสินใจ พัก Clipse ไว้ก่อนและหันไปทำงานเพลงส่วนตัวของใครของมัน
Pusha T ดูเหมือนทางจะสดใสกว่า เมื่อเขาได้เข้าสังกัด GOOD Music ของ Kanye West ที่แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็จับตามอง นั่นทำให้เขาได้ไปโผล่ในงานเพลงต่างๆของค่าย ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปร่วมในเพลง Mercy ซิงเกิ้ลเด่นจากอัลบั้ม Cruel Summer ที่รวมศิลปินในค่าย GOOD Music ซึ่งเป็นเหมือนการปูทางให้ชื่อ Pusha T เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อีกงานเด่นของเขา (อย่างน้อยในความเห็นผม) คือการไปร่วมแจมกับ The-Dream ในเพลง Dope Bitch ที่เขาฝากท่อนแร็พที่ฟังดูง่ายๆแต่โฟลว์ของมันกลับไหลลื่นแบบไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ท่าทางงานเดี่ยวของเขาจะมีอนาคตสดใสแล้ว
และในปี 2013 งานเดี่ยวของเขา My Name is My Name ก็ได้ออกมาดูโลก และกลายเป็นงานเพลงที่สร้างชื่อในฐานะศิลปินเดี่ยวให้เขาอย่างเต็มที่ ด้วยฝีมือโปรดิวซ์หลักของ Kanye ทำให้เราได้สัมผัสอิทธิพลของเขาอบอวลอยู่ในอัลบั้ม ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก Pain ที่แน่นด้วยบีทที่พร้อมถล่มลำโพง จาก 12 เพลงในอัลบั้มมันถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลถึง 5 เพลง ซึ่งแต่ละเพลงก็เด่นไม่แพ้กัน ทั้ง Sweet Serenade ที่ได้ Chris Brown มาโชว์เสียงนิ่มๆ Let Me Love You เพลงนิ่มๆไว้จีบสาวที่เขาร่วมงานกับ Kelly Rowland โดยมี The-Dream โปรดิวซ์ให้ ส่วน Nosetalgia ที่ร่วมงานกับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง Kendrick Lamar ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ขณะที่ Numbers On The Boards มาพร้อมกับบีททมิฬคลุ้งก่อนที่จะมีท่อนเบรกปรับอารมณ์สั้นๆ แต่ละเพลงชวนเราเร่งเสียงลำโพงจริงๆ แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ เขาไม่ได้ตัดเพลง 40 Acres ที่ร่วมงานกับ The-Dream ออกมาเป็นซิงเกิ้ล ทั้งๆที่ความเห็นของผมคือเพลงนี้แน่นทั้งเนื้อหาและตัวดนตรีแบบไร้เทียมทาน แต่ แค่นี้ก็เล่นเอง Pusha T กลายเป็นชื่อสามัญประจำวงการฮิพฮอพไปเรียบร้อยแล้ว และตัวอัลบั้มก็ได้ทั้งยอดขายและคำชม
หลังจากลุ่มๆดอนๆตอนทำเพลงกับพี่ตัวเอง Pusha T ดูเหมือนจะได้ฉายแววเต็มที่เมื่อทำงานเพลงเดี่ยวของเขาเองและเส้นทางของเขาก็เปล่งประกายอย่างงดงามเลยทีเดียวครับ
No comments:
Post a Comment