ตามที่เล่าไปในสัปดาห์ก่อนที่เขียนถึง Chvrches ว่าไม่น่าเชื่อว่าจากที่ผมไม่ค่อยได้ฟังเพลงที่ร้องโดยผู้หญิงเท่าไหร่ แต่ปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่ามีหลายต่อหลายวงที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นขึ้นมา นอกจาก Chvrches แล้วก็ยังมี The Jezabels, Warpaint, The Naked and Famous หรือ Ellie Goulding ซึ่งบางวงก็ไม่ใช่วงที่แค่มีผู้หญิงเป็นนักร้องนำ แต่เป็นสมาชิกหลักของวง กลายเป็นวงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ ทำให้นึกถึงเทรนด์สาวร๊อคในยุค 90 (และวงฮิพฮอพลูกผสมหญิงล้วนอย่าง Luscious Jackson) ซึ่งวงที่เราไม่สามารถจะมองข้ามไปเวลาพูดถึงวงเหล่านี้ได้ก็คือ Haim
Haim (อ่านว่า ไฮม์ ไม่ใช่ ฮาอิม) มีจุดกำเนิดที่ต่างกับอีกหลายๆวง ที่เจอกันในมหาวิทยาลัยบ้าง ตามประกาศหานักดนตรีบ้าง แต่พวกเธอไม่ต้องไปตามหากันไกลที่ไหน เพราะพวกเธอคือพี่น้องท้องเดียวกัน ที่เติบโตมาด้วยกันในแคลิฟอร์เนียในครอบครัวชาวยิว ซึ่งทั้งสามสาวคือ Alana, Danielle และ Este (อลาน่า ดาเนียลเล่ และ เอสเต้) และดูเหมือนเส้นทางของดนตรีจะถูกปูไว้ให้สำหรับพวกเธอตั้งแต่เล็ก เพราะตั้งแต่เล็ก พวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีในครอบครัวที่ชื่อว่า Rockinhaim ร่วมกับพ่อแม่ของเธอ ออกเล่นดนตรีตามงานท้องถิ่น แววมาแต่เล็กครับ
พอโตขึ้นมาหน่อย Danielle กับ Este ก็ได้เข้าร่วมวง The Valli Girls วงหญิงล้วนในช่วงต้นยุค 2000 ซึ่งก็ทำเพลงพ๊อพ๊อคสมัยนิยมแบบที่ฮิตในช่วงนั้น (เล่นเอานึกถึงวง 20th Century Girls ในยุคก่อนหน้า) ซึ่งเป็นยุคที่มีศิลปิน “ร๊อค” สาวออกมาเยอะมาก ตั้งแต่ Avril Lavigne, Kelly Clarkson หรือ Ashley Simpsons วง The Valli Girls เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง เพลงของพวกเธอถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนตร์วัยรุ่นด้วย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำมากไปกว่านั้น ใครสนใจก็ลองไปหาใน YouTube ได้ครับ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเธอก็สนใจที่จะทำงานเพลงของตัวเองมากกว่า จึงตัดสินใจฟอร์มวงกันในหมู่พี่น้อง ซึ่งก็คงไม่มีชื่ออะไรเหมาะสมมากไปกว่า Haim นามสกุลของพวกเธอนั่นเอง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง เพราะต่างคนต่างวุ่นกับเรื่องของตัวเอง Este ก็ติดเรียนให้จบที่ UCLA ส่วน Danielle ก็ได้ไปเล่นกีตาร์ให้กับ Jenny Lewis (อดีต Rilo Kiley) หลังจากที่ Jenny เห็นแววเธอตอนตีกลองให้วงเปิด (แต่เอาไปเล่นกีตาร์) ซึ่งก็ทำให้ต่อมา Julian Casablancas เห็นฝีมือเธอจนชวนไปเล่นตอนทัวร์ซัพพอร์ตงานโซโล่ของเขา และก็ได้ไปร่วมกับวงแบ็คอัพของ Cee-Lo Green อีก เรียกได้ว่าสะสมฝีมือเต็มเปี่ยม จนในที่สุดพวกเธอก็ตัดสินใจมุ่งมั่นกับเพลงของพวกเธอเองให้เต็มที่ จน Alana ตัดสินใจ ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อทำงานกับพี่สาว
แม้รากดนตรีของพวกเธอจะมาจากแนวเพลงโฟลค์อเมริกันจ๋าๆแบบที่พ่อแม่ของเธอพาฟังและเล่นมาตั้งแต่เด็กแบบ Fleetwood Mac แต่ว่าพวกเธอก็ไม่ได้เล่นตามแนวเพลงนั้นทั้งหมด แต่พวกเธอยังสนใจเพลงสมัยใหม่เช่นดนตรีผิวสีอย่างฮิพฮอพและ R&B อีกด้วย ดนตรีของพวกเธอเป็นการผสมผสานแนวเพลงที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ จนกลายเป็นเพลงที่มีจังหวะแบบดนตรีผิวสีแบบฟังค์เสียดายซ้ำ แต่เสียงร้องและท่อนฮุคกลับไปคล้ายกับ Fleetwood Mac เป็นส่วนผสมที่ออกมาลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แรกเริ่มพวกเธอเล่นเปิดให้กับศิลปินอย่าง Ke$ha และ Edward Sharpe & The Magnetic Zeros และก็ได้ออก EP แรกชื่อ Forever ในช่วงต้นปี 2012 ที่ดึงดูดความสนใจจากวงการเพลงได้เป็นอย่างมาก ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวตามที่ได้บอกไป รวมทั้งเซนส์ในการทำเพลงที่โคตรติดหู ไม่ว่าใครฟังก็พร้อมที่จะเต้นตามและร้องไปด้วย จากนั้นพวกเธอก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแสดงสดในเทศกาล South by Southwest เทศกาลดนตรีที่เท่ที่สุดงานหนึ่งในอเมริกา ทำให้พวกเธอได้สัญญากับค่าย Polydor เป็นของรางวัลจากความพยายาม และก็สร้างชื่อต่อด้วยการทัวร์ซัพพอร์ทให้ Mumford and Sons และ Florence and the Machine ในอังกฤษ ทำให้ชื่อของพวกเธอกลายเป็นที่รู้จักในทั้งสองทวีป นั่นทำให้พวกเธอถูกจับตามมองอย่างมาก BBC จัดให้พวกเธอเป็นได้ตำแหน่ง Sound of 2013 (เอาชนะวงรุ่นเดียวอย่าง Chvrches นั่นล่ะครับ) กลายเป็นวงหญิงล้วนวงแรกที่ได้ตำแหน่งนี้ ส่วน NME ก็ยกให้ Forever ติดอันดับเพลงประจำปี แล้วในปี 2013 พวกเธอก็ได้ไปเล่นในเทศกาล Glastonbury ก่อนที่จะออกอัลบั้มเต็มเสียด้วยซ้ำครับ แววรุ่งมาเห็นๆครับ
เมื่อพวกเธอออกอัลบั้มเต็ม Days are Gone ในช่วงปลายปี 2013 โดยมี James Ford แห่ง Simian Mobile Disco เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ และมันก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง เพราะ DAG คืองานลูกผสมที่ออกมาได้อย่างมีสไตล์ที่สุด ตามที่บอกไปว่าพวกเธอจับดนตรีทั้งสองแนวมาผสมกันออกมาได้แซ่บเหมือนกับอาหารฟิวชั่นที่ลงตัวนุ่มลิ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลองฟังเสียกีตาร์ใน The Wire ที่มาแบบเพลงร๊อค AOR แต่กลับเล่นล้อไปกับบีทที่โครมคราม ใครจะเชื่อว่ามันจะออกมาลงตัวได้ ยิ่งพอท่อนฮุคที่ชวนชูมือขวาขึ้นมาแหกปากตามนี่อึ้งครับ แต่ละเพลงของพวกเธอเต็มไปด้วยลูกเล่นเล็กน้อย อย่าง My Song 5 ก็อึกทึกไม่แพ้กัน ส่วน If I Could Change Your Mind เพลงโปรดของผมนี่เซ็กซี่เอามากๆ ตั้งแต่จังหวะที่ลึกลับ บวกกับเสียงร้องที่ฟังเหมือนจะเยือกเย็นแต่กลับเผยด้านอ่อนไหวอ้อนเราด้วยเสียงกระเส่าในท่อนฮุค ตายทันทีครับ ใครอยากได้เพลงที่เท่ล้ำสมัย ก็ไม่ควรพลาดฟัง Days Are Gone เป็นอันขาดครับ
พลังของสามสาวพี่น้อง Haim ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงที่แสนเท่ในอัลบั้ม Days Are Gone เรายังไม่รู้ว่าอนาคตของพวกเธอจะมุ่งไปในทางไหน แต่ในวันนี้ บทเพลงของพวกเธอจะกระหึ่มไปทั่ว ตั้งแต่ในคลับสุดชิค ร้านกาแฟเก๋ๆ ไปจนถึงงานแฟชั่นโชว์
No comments:
Post a Comment