วันนี้ผมหอบสังขารตัวเองมายืนอยู่ใจกลางเมืองกรุง ในสถานที่ที่มีชื่อว่า สยาม เมกกะสำหรับเหล่าวัยรุ่นไทยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ที่ไม่ว่าใคร ก็อยากจะเปิดตัวกับสยามด้วยแฟชั่นที่เก๋ที่สุดเท่าที่ตัวเองจะคิดได้ (แต่คนอื่นจะคิดว่าไงนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที)
สาเหตุที่ผมยอมลำบากฝ่ามวลมหาประชาชนมาถึงสยามในครั้งนี้ ไม่ได้มาเปิดตัวอะไรหรอกครับ อายุเกินจะสนใจแฟชั่นล่ะ แต่ที่ต้องมา เพราะทราบข่าวน่าเศร้า เรื่องของการปิดกิจการของร้านค้าหลายร้านที่ผมเห็นมานาน ตั้งแต่ร้านหนังสือโอเดียนสโตร์ ร้านดังที่ขายหนังสือหลายเล่มที่ร้านอื่นไม่ได้ขาย ร้านอาหารนิวไลท์ ที่ย้ายขึ้นไปชั้นบนแทนร้านชั้นล่างเดิมที่เราคุ้นเคย ร้านนี้ผมชอบบรรยากาศแบบคาเฟ่หรือไดเนอร์เก่าๆที่หาไม่ค่อยได้แล้ว (เคยแนะนำให้คนญี่ปุ่นไปทาน ก็ติดใจบรรยากาศทันที) รวมไปถึงโรงหนังลิโด้ ที่ร่ำๆว่าจะไปแหล่มิไปแหล่ ทำให้คอหนังนอกกระแสต้องลำบากใจ (ก็มันจะเหลืออีกแค่กี่โรงที่ฉายหนังแนวนี้) แม้จะทุกวันนี้ลิโด้จะยังคงอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน
และแน่นอนว่า ในฐานะนักฟังเพลง เป้าหมายในการมาสยามของผมตั้งแต่สมัยเป็นเด็กต่างจังหวัด แล้วมาเมืองกรุง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าแฟชั่นคือ ร้านขายเทปและซีดีร้านหนึ่ง ที่เคยตั้งอยู่ในทำเลทอง ติดกับทางขึ้นรถไฟฟ้า ก่อนที่ร้านจะหายไป และตึกนั้นก็กลายมาเป็นห้างใหม่ เล่นเอาใจหายว่าร้านหายไปไหน จนมาพบอีกทีว่า หลบอยู่ในมุมเงียบๆของเวิ้งหลังโบนันซ่า ใช่ครับ อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนคงถึงบางอ้อว่า ร้านที่ว่าคือ ร้านโดเรมี เมกกะสำหรับคนเรียกเสียงเพลงชาวไทย
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ร้านโดเรมี ร้านชื่อง่ายๆแบบนี้ คือร้านขายเทปและซีดีร้านสำคัญที่อยู่คู่สยามมานานมาก แม้อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของวัยรุ่นมากเท่าร้านดีเจสยาม แหล่งรวมวัยรุ่น แต่สำหรับคนชอบฟังเพลงและต้องการหาเพลงแปลกๆแหวกแนว เรียกได้ว่ามาที่ร้านนี้ไม่ผิดหวังครับ ในร้านจะประดับประดาไปด้วยแผ่นซีดีเต็มไปหมด แบบไม่ต้องมีวอลเปเปอร์เลยด้วยซ้ำ เพราะทุกตารางนิ้วถูกแผ่นซีดีปกครองไปเรียบร้อยแล้ว ในยุคที่เทปยังคงเป็นที่นิยมอยู่ ในร้านก็จะมีกล่องเทปที่มีแต่ปก ไม่มีม้วน กองเรียงไว้เป็นตับ โดยมีการจัดหมวดหมู่เช่น วงเดียวกัน หรือ แนวเพลงเดียวกัน ก็จะถูกจัดเป็นตับด้วยเทปกาว ให้เราเปิดเรียงหาดูได้ง่ายๆ (คล้ายๆกับสั่งแผ่นเกมยุคนี้) เราอยากได้อะไร ก็บอกคุณป้าเจ้าของร้าน (ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้ชื่อ ได้แต่เรียกว่าคุณป้าโดเรมี หรือย่อๆว่า ป้าโด) คุณป้าก็จะงมๆ แล้วตลับเทปตัวจริงก็จะออกมาในเวลาอันสั้น เรียกได้ว่าเป็นระบบการซื้อเทปที่ต่างไปจากร้านอื่นๆจริงๆ (เคยมีอีกร้านหนึ่งที่เหมือนกัน คือร้านที่พันทิพย์ ซึ่งไปๆมาๆ ก็เป็นญาติกันซะงั้น)
ด้วยความที่รวมเทปและซีดีหายาก ในยุคที่การแชร์ MP3 เป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครคาดคิด ทำให้เหล่าคนรักเสียงเพลงต้องไปอุดหนุนร้านโดเรมีกันอย่างเนืองแน่น ไม่เหมือนกับร้านแฟรนไชส์ต่างๆที่จะมีเฉพาะแผ่นที่ขายตลาดทั่วไปได้เท่านั้น และที่สำคัญ คนรักดนตรีคงรู้ดีกว่า คุณป้านั้นเป็นคนรักเสียงดนตรีจริงๆ ถามอะไร ก็รู้จักหมด ตั้งแต่คลาสสิก แจ็ซ ยัน เมทัล จนเอาเข้าจริงๆแล้ว คุณป้าอาจจะเป็นหนึ่งในกูรูเรื่องเพลงสากลของเมืองไทยที่ไม่ยอมเผยตัวคนหนึ่งก็ว่าได้ เทียบกับร้านแฟรนไชส์ที่กว่าจะถามหาอะไรจากพนักงานแต่ละครั้งได้นี่ช่างเป็นเรื่องลำบากยากเย็นจริงๆ และด้วยปริมาณและคุณภาพของร้าน ทำให้ทุกปิดเทอมที่ผมมากรุงเทพ ต้องได้สอยเทปเพลงกลับขอนแก่นชนิดว่าหอบกันลำบาก แถมด้วยการที่เป็นร้านที่เจ้าของขายเอง ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าจึงยอดเยี่ยมมาก ผมเคยมาหอบตำราจากศูนย์หนังสือจุฬากลับบ้านเป็นหลักสิบเล่ม แบกเดินสยามต่อไม่ไหว ก็เดินไปฝากไว้ที่ร้านป้าโดเรมีก่อนที่จะวกกลับไปเอาก่อนร้านปิดได้ ร้านขายซีดีแบบนี้จะหาได้ที่ไหนอีกครับ โถ่
พอได้มาสยามครั้งนี้ ผมก็ตรงไปร้านป้าโดเรมีทันที ด้วยความอยากสัมภาษณ์คุณป้ามากๆ แต่คุณป้าก็ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาไม่เคยให้สัมภาษณ์ ถ้าจะให้สัมภาษณ์ ก็จะไม่ให้เกียรติคนที่เคยมาขอสัมภาษณ์ก่อน เลยกลายเป็นการคุยกันประสาคนฟังเพลงกันซะมากกว่า
วันนั้นในร้าน เงียบมาก อาจจะเป็นเพราะม๊อบ กปปส ด้วย เลยได้คุยสบาย เท่าที่ทราบ ร้านโดเรมียังมีสัญญาเช่าอยู่ถึงสิ้นปีนี้ แต่จากนี้ไป จะเป็นอย่างไร ตัวคุณป้าก็ยังไม่รู้ ถ้ายังไหว ก็คงดี แต่คุณป้าก็พูดถึงเรื่องการเกิด และการแตกดับเสมอ ดูเหมือนเมื่อทำร้านมาขนาดนี้แล้ว ถึงจุดหนึ่ง คุณป้าเองก็ปลง ในโลกของไฟล์ดิจิตอล คนที่พยายามดั้นด้นไปซื้อแผ่นซีดีก็น้อยลงทุกที แต่กลับมีกระแสถวิลหาแผ่นเสียง ซึ่งในร้านก็มีแผ่นเสียงวางขายบ้างเหมือนกัน พร้อมทั้งความเห็นว่า ตราบใดที่มีคนฟังเพลง ก็จะมีร้านขายสินค้าแบบนี้ต่อไป แม้จะไม่ใช่ร้านนี้ แต่ก็อาจจะมีร้านอื่นมาทดแทนเสมอ และคุณป้าก็ถ่อมตัวมาก ไม่ได้มองว่าตัวเองมีความสำคัญกับวงการเพลงอะไรเลย ซึ่งเราเห็นแย้งแน่นอนเพราะคนรุ่นๆผมนี่รับรองได้ว่าได้รับอิทธิพลจากการมีร้านซีดีแบบนี้หลายต่อหลายคนแน่นอนครับ
หลังจากคุยได้ระยะหนึ่ง ผมก็ขอตัวกลับโดยอุดหนุนแผ่นซีดีกลับมาฟังด้วย พอเดินออกจากร้านก็แอบใจหายหน่อย เพราะแลนด์สเคปมันเปลี่ยนไปไม่น้อย และจากนี้ไป ถ้าร้านหนังสือ ร้านซีดี ที่เป็นแหล่งให้และแลกเปลี่ยนความรู้ จะหายไปจากสยามหมด จะเหลืออะไรในสยามนอกจาก ห้างสรรพสินค้า สินค้าแฟชั่น โรงเรียนกวดวิชา และคลินิกเสริมสวย ซึ่งต่อไปก็คงจะเหมือนกันทั้งกรุงเทพ ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ผมไม่ได้อยากจะเรียกร้องอะไรจากเจ้าของที่ เพราะก็เข้าใจว่ามันคือระบบทุนนิยม แต่ก็ได้แต่คิดว่า ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษา ทางผู้บริหารเคยคิดหรือไม่ว่า นอกจากตำราเรียนแล้ว มันยังมีการศึกษานอกตำราเรียนที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆนอกจากสร้างสังคมขึ้นมา สร้างพื้นที่ให้ได้แลกเปลี่ยน สร้างคนที่มีความคิด มีรสนิยมเป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่ปั๊มบุคลากรที่มีชุดความคิดแบบเดียวกันออกมาอย่างเดียว
ณ จุดนั้น ผมก็นึกถึงคำว่า “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ชนนั้นในสันดานเป็นคนชอบกลนัก” ขึ้นมากตะหงิดๆ
No comments:
Post a Comment