เวลาผ่านไปไวแบบไม่น่าเชื่อครับ แป๊บๆ อัลบั้ม In Utero ที่ออกวางขายในปี 1993 ก็มีอายุครบ 20 ปีล่ะ นี่ ผมเองแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอ จากหนุ่มน้อยในตอนนั้น ตีนกาก็เพิ่มตามมา แต่งานดนตรีนี่มันเหมือนไวน์ครับ ของดีๆ ยิ่งผ่านกาลเวลาที่เนิ่นนาน มันก็ยิ่งเพิ่มคุณค่า และ In Utero ก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ทรงคุณค่าเสมอ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน
ก่อนอื่น ผมต้องขอออกตัวว่า ผมไม่ใช่แฟน Nirvana เหมือนหลายๆคน ที่โตมาในยุคนั้น เพราะว่า ผมดันเริ่มฟังเพลงกับสายกีตาร์ฮีโร่ ร๊อคผมหยอยยาวทั้งหลาย แล้วพอเข้าม.ปลาย ก็หันมาสายอังกฤษแบบเต็มตัวเลย ไม่ค่อยได้แตะสายกรันจ์ แต่ตอนเล่นดนตรีกับเพื่อน ก็เล่นเพลง Nirvana นะครับ เพราะสมาชิกวงต้องการเล่นด้วย ผมยึดเสียงข้างมากครับ แหม่
แต่ ในขณะเดียวกัน แม้จะไม่ใช่แฟน แต่ผมก็สนใจ Nirvana ไม่น้อย เพราะว่า เคิร์ต โคเบน นอกจากจะเป็นฮีโร่ของหลายๆคนในยุคนั้น (ชนิดที่ ในนิตยสารเพลงต้องมีคนเขียนไปพูดเรื่องเคิร์ตประหนึ่งเป็นเพื่อนเรียนร่วมรุ่นกันเลยทีเดียว) เขายังเป็นเหมือนตัวแทนของยุคที่เต็มไปด้วยศิลปินที่โทษตัวเอง จากยุคที่ศิลปินร๊อคทั้งหลายสนุกกับยาและผู้หญิง พอเปลี่ยนมาเป็นยุคกรันจ์ แม้จะคลุ้งยาเหมือนเดิม แต่ว่า มุมมองที่มีต่อโลกนั้นเปลี่ยนไปมาก
ไอคอนทั้งหลายของยุคนี้ ไม่ได้เป็นศิลปินแบบยอดชายนายอีโก้ แต่เป็นเหล่าชายผู้อ่อนไหว โทษตัวเอง รังเกียจตัวเอง รู้สึกผิดต่อคนรอบข้าง พร้อมที่จะทำร้ายตัวเอง จมอยู่กับความเศร้า และจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ลองมองดูดีๆ ยุค 90 น่าจะเป็นยุคที่มีศิลปินจากไปทั้งที่ยังหนุ่มไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเคิร์ต เพื่อนร่วมแนวกรันจ์อย่าง เลย์น สแตนลีย์ แห่ง Alice in Chains เจฟฟ์ บัคลีย์ ผู้หายไปกับสายน้ำ ริตชีย์ เอ็ดเวิร์ด แห่ง Manic Street Preachers ที่หายไปไม่มีใครพบได้อีก แทบทุกคนมักจะจมอยู่กับความเศร้า และยาหรือเหล้า นอกจากนั้นยังมีศิลปินดังอย่าง Radiohead หรือ Beck ที่นำเสนอภาพความเป็นผู้แพ้ คนนอก ดูเหมือนว่า ยุค 90 จะเป็นยุคทองของความหดหู่จริงๆ (แน่นอนว่าวัยรุ่นยุคนั้นอย่างผมก็ได้อิทธิพลมาไม่น้อยครับ)
แต่ในทั้งหมดนั้น คนที่ดังที่สุดก็คงต้องยกให้เคิร์ต นอกจากบทเพลงของเขาแล้ว บุคลิกที่ดูเหมือนคนซึมเศร้า แต่กลับระเบิดเหมือนคนคลั่งบนเวที เป็นภาพที่ขัดแย้งกัน สายตาของเขาดูเหมือนคนที่โกรธ และเศร้าในขนะเดียวกัน ด้วยความคมคายของใบหน้า ทำให้เขาเป็นโปสเตอร์บอยของวงการไป ใครๆก็จำชายผมบลอนด์ยาว เสื้อตัวโคล่ง กางเกงยีนส์ขาดๆ กีตาร์เฟนเดอร์ และรองเท้าคอนเวิร์สได้ และยิ่งเขาจากไปด้วยการฆ่าตัวตาย ยิ่งทำให้สถานะของเขาแทบจะกลายเป็นพระเจ้าไปเลย
แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น งานเพลงของพวกเขาคือสิ่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของยุคอย่างแท้จริง จากความระเบิดความกราดเกี้ยว ในอัลบั้มสร้างชื่อ Never Mind พวกเขา ก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการเพลง เพราะพวกเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับแฮร์แบนด์ที่เริ่มเสื่อมในยุคต้น 90 แล้ว แนวเพลงที่กราดเกรี้ยว ดิบ ติดดิน ของพวกเขา เป็นเหมือนกระบอกเสียงของวัยรุ่นยุคที่โตมากับสังคมที่เริ่มสงบบนบาดแผลที่คนเจเนอเรชั่นก่อนก่อไว้ (สงครามเวียดนามและฟอล์คแลนด์) พวกเขาคือ Gen X ที่ขัดแย้งกับคนยุคเบบี้บูมก่อนหน้า
และแค่อัลบั้มเดียว พวกเขากลายเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกวงนึงไปในชั่วข้ามคืน วัยรุ่นยกให้พวกเขาเป็นฮีโร่ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน และอาจจะไม่ได้ต้องการซะด้วยซ้ำ เมื่อสถานะของพวกเขาเปลี่ยนไป คำถามต่อมาคือ แล้วงานต่อไปจะเป็นเช่นไร
ผลที่ออกมาคือ In Utero ในปี 1993 งานเพลงที่สร้างเรียกเสียงวิจารณ์ได้หลายแง่ แน่นอนว่าการสร้างผลงานตามหลังความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่น่าสนคือ พวกเขาไม่ได้เลือกเดินตามความสำเร็จเดิม แต่พวกเขาเลือกเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ และทำงานเพลงที่ไม่เกรี้ยวกราดเช่นเคย ซาวด์ของอัลบั้มนี้ สะอาดขึ้นกว่าเดิม เล่นเอาแฟนเพลงที่ต้องการความดิบช๊อค คิดว่าพวกเขาขายวิญญาณให้กับค่ายเพลงใหญ่ไปแล้ว แต่ตัวเคิร์ตเองก็คิดไว้แล้วว่า ใครที่ชอบ Never Mind คงไม่ชอบงานชุดนี้ กระทั่งค่ายเพลงยังคิดว่ามันน่าจะล้มเหลวในแง่ยอดขาย (ซึ่งก็คิดผิดโดยสิ้นเชิง) แต่สำหรับตัวเขา มันคงเป็นเหมือนอนุทินที่จะทิ้งไว้ก่อนจบชีวิตตัวเอง เพราะมันคืองานที่เขามองย้อนกลับเข้าไปหาตัวเอง จนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่เป็นส่วนตัวที่สุดของเขา ภายในเวลาไม่ถึงปีหลังจากอัลบั้มวางขาย เคิร์ตก็จากโลกนี้ไปด้วยฝีมือของตัวเอง ปล่อยให้ In Utero เป็นงานสตูดิโออัลบั้มชิ้นสุดท้ายของพวกเขา และแน่นอนว่า คนที่ฟังมันหลังจากเหตุการณ์ที่น่าเศร้านั่น ต้องมองว่ามันเป็นจดหมายลาตายของเคิร์ตก่อนจากโลก ซึ่งมันก็คงเป็นจดหมาดลาตายที่ทรงพลังเสียเหลือเกิน (จนกระทั่งส่งอิทธิพลให้กับ Holy Bible ของ MSP จดหมายลาชั้นเลิศอีกชิ้น)
และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 20 ปี เข้าสู่ยุคดนตรีแบบดิจิตอล จะมีอะไรดึงบรรยากาศวันเก่าๆกลับมาได้ดีเท่ากับการเอาอัลบั้มชั้นยอด กลับออกมาวางขายอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ ก็เรียกได้ว่าจัดเต็ม เพราะในฉบับซีดีคู่ ก็มีทั้งเพลงเดโม เพลงB-Sidesเดิม เพลงฉบับรีมิกซ์ใหม่ และมิกซ์ที่ไม่เคยออกวางขาย จัดเต็มสมใจแฟนเพลงแน่นอน แถมยังมีแบบ 3 แผ่นซีดี 1 DVD ขนาดยักษ์ที่มีหนังสือประกอบเล่มโตสำหรับสาวกตัวจริง ซึ่ง DVD ที่ว่าคือ บันทึกการแสดงสด Live and Loud ที่ซีแอตเทิ้ลในปลายปี 1993 ซึ่งถูกทำออกขายเป็นครั้งแรก ส่วนบ้านเรา มี DVD ต่างหากให้ตามเก็บด้วย ถ้าเป็นแฟนก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับ
No comments:
Post a Comment