Monday, April 8, 2013

Sound City ทริบิวต์ให้กับสตูดิโอ

คนที่ฟังเพลง คงเคยชินกับงานเพลงประเภท Tribute ที่มาร่วมกันทำเพลงเพื่อยกย่องศิลปินรุ่นพี่ ที่เหมาะสมกับการยกย่องกันเป็นประจำ แต่มาคราวนี้ แปลกไปกว่าปกติ คือการทำงานเพลงเพื่อยกย่องสตูดิโอ ใช่แล้วครับ สตูดิโอ ที่ปกติเราก็ไม่ค่อยรู้กันหรอกว่าอัดเสียงกันที่สตูดิโอไหน แต่ที่เค้าทำเพลงยกย่องกันในวันนี้คือ Sound City Studio สตูดิโอในตำนานที่เป็นแหล่งให้กำเนิดงานเพลงระดับมาสเตอร์พีซหลากหลายชิ้น

sound-city-poster

Sound City Studio คือสตูดิโอในตำนาน ที่อยู่ที่ San Fernando Valley ใน ลอสแองเจลิส ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1969 และเป็นสตูดิโอที่อัดเสียงงานเพลงชื่อดังในประวัติศาสตร์มากมาย เป็นศูนย์กลางของนักดนตรีหลายราย วงดนตรีอยู่กับสตูดิโอเหมือนกันครอบครัว มีประวัติศาสตร์ต่างๆที่รายล้อมสตูดิโอแห่งนี้ ด้วยความที่มันมีจุดเด่นที่เสียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากเสน่ห์ของอนาลอก ที่อัดลงในเทป ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยปรุงแต่ง ทำให้ได้เสียงที่ดิบและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นผลมาจากบอร์ดควบคุมที่สั่งทำขึ้นพิเศษ ราคาแพงกว่าบ้านเจ้าของสตูดิโอเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็ตอบแทนอย่างคุ้มค่า เพราะมันกลายเป็นบอร์ดในตำนานของวงการเพลงร๊อคไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียกลองที่ออกมาจากจากสตูดิโอนี้ มีความโดดเด่นจนกระทั่งศิลปินอย่าง Metallica เมื่อฟังเสียงกลองที่อัดจากหลายๆสตูดิโอ โดยไม่ระบุว่ามาจากสตูดิโอไหนบ้าง ก็เลือก Sound City เป็นที่อัดเสียงงานชุด Death Magnetic หรือ Dave Grohl เคยยื่นเงื่อนไขให้กับ Nine Inch Nails ว่า ถ้าจะให้ช่วยไปอัดเสียงกลอง ก็ขออัดแค่ที่สตูดิโอนี้เท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดงานเพลงและภาพยนต์ทริบิวต์ให้กับสตูดิโอแห่งนี้ จัดว่าเป็นจุดกำเนิดจากจุดจบของสิ่งหนึ่ง เพราะ Sound City Studio ต้องทำการปิดตัวลง เนื่องจากในยุคดิจิตอล การทำเพลงแบบอนาลอก ทุกอย่างทำมือ กลายเป็นงานที่ยากลำบากและน่าเบื่อเกินไปสำหรับศิลปินรุ่นใหม่ๆ ไม่สะดวกเหมือนจิ้มในคอมจึ๊กๆ อัดพลาดอัดอะไรก็คลิกสองสามทีก็แก้ได้ ทำให้คนลืมเสน่ห์แบบอนาลอกเดิมๆ หันไปหาดิจิตอลกันหมด ซึ่งถ้า Sound City จะเอาจริงๆ จะปรับเป็นดิจิตอลได้ไหม ก็คงได้ แต่อาจจะไม่คุ้ม และยังเสียอุดมการณ์ที่เคยยึดมั่นมา ผลก็คือ สตูดิโอต้องปิดกิจการลง

แน่นอนว่า แม้ธุรกิจจะล้มเหลว แต่ด้วยตำนานที่สร้างสมมานาน มีเหรอครับ ที่มันจะจบลงได้ง่ายๆ Dave Grohl ศิลปินในตำนานที่คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เขารู้สึกเสียดายระบบเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ๆเขาอัดเสียงอัลบั้ม Nevermind อัลบั้มในตำนานของวง Nirvana และมันก็กลายเป็นงานสร้างชื่อในยุคสมัยใหม่ให้กับ Sound City Studio แห่งนี้ เพราะเขาหลงรักเสียงกลองดิบๆของที่นี่มาก เขาจึงตัดสินใจซื้อแผงควบคุมของสตูดิโอแห่งนี้จากเจ้าของเดิม และตั้งใจจะทำหนังสารคดีเกี่ยวกับการบันทึกเสียงอัลบั้มดังกล่าว

เหตุการณ์มาพลิกผัน เมื่อตอนที่เขาไปรับตัวแผงควบคุม เขาไม่ได้รับแค่แผงควบคุมมา แต่เขาได้รับรายชื่อศิลปินที่เคยอัดเสียงที่สตูดิโอแห่งนี้ และเมื่อกราดสายตาไปที่รายชื่อเหล่านั้น เขาก็พบว่า การทำสารคดีของวงตัวเองเท่านั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะจะเป็นการไม่ให้เกียรติวงในตำนานอื่นๆทั้งหลาย เขาจึงตัดสินใจทำสารคดีTribute ให้กับสตูดิโอในตำนานแทน

นั่นคือที่มาของสารคดีตัวดังกล่าว ซึ่งทาง Sony ประเทศไทย ก็ได้มีโอกาสจัดฉายในโรงในวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา และยังมี DVD และ CD ขายทั่วไปอีกด้วย ส่วนตัวผมโชคดีที่ได้ดูในรอบฉายโรงจัดเต็มสะใจครับ

url

และในตัวสารคดี ก็มี Dave Grohl เป็นทั้งคนเดินเรื่อง ผู้กำกับ และผู้เขียนบท จะมีอะไรถ่ายทอดความร๊อคได้ดีเท่ากับชาวร๊อคเองล่ะครับ สารคดีเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่ Nirvana วัยหนุ่มลำบากลำบนมาเพื่ออัดเสียงกับสตูดิโอในตำนาน แต่ต้องพบกับสตูดิโอเน่าๆ เละๆ เยินๆ จนเรางง เฮ้ย นี่มันสตูดิโอในตำนานเหรอ (เหมือนที่เดฟงง) แต่พอเล่าไปมา เราก็เริ่มเข้าใจเสน่ห์ของมัน ทั้งความดิบแบบชาวร๊อค และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนเริ่มรู้สึกว่า ทุกคราบกองอ้วกมีตำนานเบื้องหลังอยู่ (แหม่ มองโลกในแง่ดี) และเราก็จะได้เข้าไปดูที่มาของแผงควบคุมในตำนาน ประวัติศาสตร์ของสตูดิโอผ่านศิลปินที่เคยมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดใหม่ของ Fleetwood Mac ความสัมพันธ์ของสตูดิโอกับศิลปินอย่าง Rick Springfield เบื้องหลังการทำเพลงของ Tom Petty รวมไปถึง Nirvana อีกด้วย ศิลปินและโปรดิวเซอร์หลากหลายที่เคยผ่านสตูดิโอนี้มา รวมทั้งพนักงานของสตูดิโอก็ออกมาเล่าเรื่องราวของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ รวมทั้งการตัดต่อของเดฟ ที่ทำให้เราได้สัมผัสความสดและจริงใจจากงานชิ้นนี้ รวมไปถึงอารมณ์ขันที่มีหยอดมาเป็นระยะๆ จนเรารู้สึกว่า สตูดิโอแห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยจิตวิญญาณราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่จริง และเราซึบซับเสน่ห์ของมันได้อย่างเต็มที่

ไฮไลต์เด่นที่พลาดไม่ได้อีกอย่างคือ การอัดเสียงในสตูดิโอที่บ้านของเดฟ หลังจากเขายกแผงควบคุมในตำนานมาเซ็ตเรียบร้อย เขาก็เชิญศิลปินในรายชื่อมาร่วมทำงานเพลงกัน โดยจะทำเพลงใหม่และอัดให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เราได้เห็นซูเปอร์กรุ๊ปชั่วคราว ที่มีสมาชิกวนเวียนไปมา ทั้ง Stevie Nicks (Fleetwood Mac), Rick Springfield, Pat Smear กับ Taylor Hawkins (Foo Fighters), Josh Homme (QOTSA), Trent Reznor (NIN), Tim Commerford กับ Brad Wilk (RATM) Corey Taylor (Slipknot), Peter Hayes กับ Rob Been (Black Rebel Motorcycle Club) และไฮไลต์ส่งท้ายก่อนจบ คือการร่วมงานอีกครั้งของ คริส โนวาเซลิค กับ เดฟ สองอดีต Nirvana กับโปรดิวเซอร์ของ Nevermind อย่าง Butch Vig แล้วยังได้ป๋า Paul McCartney มาร่วมแจม ร้องในเพลง Cut Me Some Slack ส่งท้ายกันอย่างสมใจขาร๊อคเลยทีเดียว

Sound City คือการบันทึกเสน่ห์และปรวัติศาสตร์ของดนตรีร๊อค โดยเราจะได้สัมผัสความงดงามของการบันทึกเสียงแบบอนาลอกที่นับวันยิ่งจะหายากขึ้นทุกทีในยุคที่ใครๆก็ทำเพลงในห้องนอนได้ ถ้าใครเป็นขาร๊อคไม่ควรพลาดกับสารคดีชิ้นนี้ ที่เป็น สารคดีของขาร๊อค จัดทำโดยขาร๊อค เพื่อขาร๊อค จริงๆ

No comments: