จะเข้าช่วงปลายปีแบบนี้แล้ว นอกจากงานส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ที่เป็นธรรมเนียมแล้ว อีกเทศกาลที่เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศพุทธบริสุทธ์แบบไทยแลนด์บ้านเราก็คือเทศกาลคริสมาสครับ หึหึ ทุกวันนี้ยังงงอยู่เลยว่า เกี่ยวอะไรกันบ้างเนี่ย แต่เอาเถอะครับ งานสนุกงานไหน พี่ไทยเอาหมด ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะฉลองเทศกาลฮานุคาห์ของชาวยิวหรือควอนซ่าของชาวผิวสีอีกด้วยอีกด้วย
สำหรับชาติที่มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักแล้ว ไม่แปลกอะไรที่เมื่อเข้าช่วงเทศกาลแล้วบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมันจะยิ่งใหญ่จริงๆ อากาศหนาวๆ คนไม่อยากทำงานกันแล้ว อยากแต่จะฉลอง อยู่กับครอบครัว คนที่รัก เป็นบรรยากาศที่เยี่ยมไม่เบานะครับ และที่ขาดไม่ได้สำหรับช่วงเทศกาลแบบนี้คือการออกซิงเกิ้ลหรืออัลบั้มเพลงคริสมาสโดยศิลปินหลายราย ที่ออกมาเพื่อฉลอง (และโกยเงิน) ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ และ Cee Lo Green ก็เป็นอีกหนึ่งที่ไม่พลาดในครั้งนี้ครับ
Cee Lo Green คือหนึ่งในกลุ่มศิลปินผิวสีแดนใต้จากเมืองแอตแลนต้าในรัฐจอร์เจียน สหรัฐ ซึ่งพวกเขาเองก็ได้มีแนวทางเพลงฮิพฮอพแบบ Dirty South ทีฉีกออกไปจากแนวทางของ LA. และ New York กลายเป็นอีกแนวทางหนึ่งของเพลงฮิพฮอพซึ่งเขาเริ่มต้นด้วยการเป็นสมาชิกของวง Goodie Mob ซึ่งเขารับหน้าที่สำคัญในการร้องท่อนเด่นๆของวง และคุมแนวทางของเพลง โดยที่พวกเขาได้รับการหนุนจาก Outkast รุ่นพี่จากเมืองเดียวกันที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างก่อน
และเป็นเพราะความสำเร็จของ Outkast นี่เอง ที่ทำให้ต้นสังกัดของพวกเขาคือ Arista ยื่นสัญญาให้กับ Cee Lo Green ทำงานเดี่ยว เขาจึงตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพื่อมาออกผลงานเดี่ยว บวกกับที่กระแสแนวเพลงนีโอโซลกำลังมาแรงโดยศิลปินอย่าง Marcy Gray หรือ Alicia Keys รวมทั้งที่มาก่อนหน่อยอย่าง DÁngelo กับ Maxwell ทำให้ค่ายเพลงคาดหวังกับตัวเขาไม่น้อย
แต่น่าเสียดายที่ความพยายามออกผลงานเดี่ยวของเขาทั้งสองชุดกลับไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ กระทั่งนำไปเทียบกับอัลบั้มที่ได้รับรางวัลมากมายอย่าง Speakerboxxx/The Love Below ของคู่หู Outkast แต่ว่าในแง่ยอดขายกลับเป็นที่น่าผิดหวัง จนเสียวว่าจะเป็นจุดจบของศิลปินที่ถูกคาดหวังคนนี้หรือไม่
แต่เมื่อมีฝีมือ คงไม่จบง่ายๆหรอกครับ จากที่ไม่ประสบความสำเร็จ โอกาสกลับมาหาเขาอีกครั้ง เมื่อร่วมงานกับ DJ Dangermouse ดีเจสุดเท่ที่ฝากผลงานดังอย่าง The Grey Album ที่หยิบ The White Album ของ The Beatles มาขยำรวมกับ The Black Album ของ Jay-Z เขาทั้งสองเคยร่วมงานรีมิกซ์กันมาบ้าง ละเมื่อแนวทางตรงกัน จึงจับมือร่วมกันทำเพลงในนาม Gnarl Barkley ที่จะช่วยสร้างชื่อให้กับเขาทั้งสองในวงกว้างอย่างจริงจัง
เมื่อ Gnarl Barkley ออกซิงเกิ้ล Crazy มันก็เป็นเพลงฮิตระดับโลกไป จากการแต่งเพลงที่ช่างติดหูเสียจริงๆ โดยเฉพาะเสียงร้องของ Cee Lo ที่กลายเป็นจุดเด่นของเพลงไปด้วยการโชว์พลังเสียงอย่างน่าทึ่ง และจากความสำเร็จนี้เอง ได้แผ้วทางให้กับทั้งสองกลายเป็นชื่อศิลปินสามัญประจำบ้านได้เสียที ทำให้พวกเขาได้ออกงานสองอัลบั้มด้วยกันนั่นคือ St. Elsewhere และ The Odd Couple ในปี 2006 และ 2008 ตามลำดับ
เมื่อชื่อเสียงแล้ว เขาก็เริ่มต้นความพยายามครั้งใหม่ในการเริ่มต้นอาชีพศิลปินเดี่ยวของเขาอีกครั้ง ด้วยอัลบั้มเดี่ยวที่ชื่อ The Lady Killer ในปี 2010 และมันก็กลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ เริ่มตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Fuck You กลายเป็นงานโซลป๊อปที่ติดหูและดังไปทั่วทุกแห่งจริงๆครับ ผมแอบชอบการเปรียบเปรยสารพัดในเพลงนี้จริงๆครับ (ผลงานของ Bruno Mars ที่เข้ามาช่วยแต่งเพลง) อีกเพลงที่เท่จริงๆก็คือ Bright Lights, Bigger City ที่ดนตรีประกอบข้างหลังมันล้ำลึกเอามาก It’s OK ก็มากับซาวด์แบบย้อนยุคหน่อยๆแบบที่ Paul Epworth โปรดิวเซอร์มือทองถนัด เช่นกันกับ No One's Gonna Love You ที่เท่เอามากครับ อีกเพลงที่แนะนำคือ Fool For You เพลงโซลที่ได้ตำนานโซลดิสโก้อย่าง Phillip Bailey จาก Earth, Wind and Fire มาร่วมร้อง
หลังจากมีชื่อเสียงเขาก็ไปรับงานอื่นเช่นเป็นโค้ชในรายการ The Voice ของสหรัฐ และในที่สุดก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ แต่พอได้ยินว่าเป็นอัลบั้มคริสมาส ก็เล่นเอาเสียวเหมือนกัน เพราะปกติแล้ว อัลบั้มคริสมาสมักจะออกมาเพื่อโกยเงิน ไม่ได้ตั้งใจทำเพลงอะไรนักหนา เลยเป็นห่วงว่า จะเข้าอีหรอบนี้รึเปล่า
แต่แล้วก็ผิดคาดครับ กลายเป็นว่า Cee Lo’ Magic Moment กลับเป็นงานเพลงคริสมาสที่ทำออกมาได้มีคุณภาพมากๆ ไม่เหมือนกับงานสุกเอาเผากิน ที่เอาเพลงเก่าๆมาคัฟเวอร์ลวกๆ รีบขาย แต่การที่งานชุดนี้ออกตั้งแต่เดือน ตุลาคมแสดงว่าเขาวางแผนเพื่ออัลบั้มมาพร้อมแล้ว ไม่ได้มาเร่งทำอะไร แม้งานเพลงทั้งหมดจะเป็นการคัฟเวอร์เพลงคริสมาสที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจจริงๆ
ตั้งแต่เพลงอย่าง You’re a Mean One, Mr. Grinch ที่เขาร่วมงานกับนักร้อง a cappella ชื่อ Straight No Chaser (แปลว่ากินเหล้าเพียวไม่กินน้ำตาม) ถือว่าเป็นตัวเลือกที่แปลก แต่ก็ทำโชว์พลังเสียงได้อย่างดี เขาไม่ได้เลือกแต่เพลงมาตราฐานอย่างพวก Silent Night หรือ Run Rudolf Run มาทำ แต่ยังเล่นกับวัฒนธรรมป๊อปด้วยการหยิบเพลง All I Want for Christmas is You ของ Mariah Carey หรือ This Christmas ของ Donny Hathaway มาทำใหม่ได้แบบที่เราสามารถเพลิดเพลินได้โดยไม่ต้องแคร์ฉบับเก่าเลยทีเดียว และยังมีเพลง Baby It’s Cold Outside ที่ได้ Christina Aguilera มาร่วมโชว์พลังเสียง เช่นเดียวกับ Merry Christmas ที่มี Rod Stewartมาโชว์เสียงแหบเสน่ห์คู่กับ Trombone Shorty แต่ที่แปลกและแอบฮาหน่อยๆคือ All I Need Is Love ที่ร่วมร้องกับหุ่นเชิด The Muppets ที่เพลิดเพลินไปกับจังหวะที่โครมครามได้เป็นอย่างดี เมื่อฟังทั้งอัลบั้มแล้ว บอกได้เพียงว่า เป็นงานเพลงคริสมาสที่ตั้งใจทำออกมามากๆจริงๆ
ใครที่อ่านคอลัมน์นี้ในวันอีฟอยู่ อยากจะลองหาเพลงคริสมาสแบบที่ไม่เฝือ ไม่ต้องการเจอเพลงมาตราฐานที่เปิดแบบซ้ำซากทุกปีอย่าง Last Christmas ของ Wham! แล้ว Cee Lo’s Magic Moment ก็เป็นงานที่ไม่ควรพลาดอีกชิ้นแน่นอน
No comments:
Post a Comment