ญี่ปุ่น นอกจากจะเป็นประเทศที่ผมไปใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่ง และหลงไหลในความน่าสนใจของมันแล้ว ดนตรีของญี่ปุ่นก็มีความหลากหลายมากกว่าที่คิด แม้ว่าเวลาดูทีวี จะเจอแต่วงไอดอลเต็มไปหมด แต่ก็ยังมีหนุ่มสาวที่พร้อมจะทำเพลงตามความต้องการของตัวเองโดยไม่ได้สนใจใคร จนถ้าเราพยายามค้นหา หรือตามดูไลฟ์เล็กๆแล้ว จะเจอวงน่าสนใจเต็มไปหมด และวงที่เอามาแนะนำในวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่น่าสนใจและแหวกแนวเอามากๆ คือ N’Shukugawa Boys วงที่แสนเปรี้ยวจากประเทศญี่ปุ่นวงนี้ พอได้ฟังครั้งแรกผมก็เหมือนโดนหมัดฮุคเข้าไปที่แก้มซ้ายเต็มๆจนหลงพวกเขาแบบสุดๆ เพราะความแปลกเฉพาะตัวของพวกเขา เล่นเอาเคลิ้มไปเลย เลยต้องค้นหาข้อมูลของวงเพิ่มขึ้นครับ
N'夙川BOYS หรือ N’Shukugawa Boys (อ่านว่า อึ้น ชุคุกาว่า บอยส์) คือวงอินดี้ ที่ก่อตั้งในจังหวัด เฮียโกะ ประเทศญี่ปุ่น (ที่ตั้งเมืองโกเบ เมืองเนื้ออร่อยนั่นเองครับ) โดยสมาชิกก็คือ สองหนุ่มจากวง King Brothers นั่นคือ มายะ เลิฟ (กีตาร์ ร้องนำ กลอง) และ ชินโนะสุเกะ บอยส์ (กลอง กีตาร์) แยกออกมาทำไซด์โปรเจคต์ร่วมกับ ลินดา ดาดา (กีตาร์ ร้องนำ กลอง) นางแบบสาวระดับท็อป ในปี 2007 โดยได้รับการดูแลจาก มาซาฮิดะ ซาคุมะ โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงพังค์ร็อคจากยุค 80 ทำให้ซาวด์ของพวกเขาใกล้เคียงกับวงพังค์ระดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง The Blue Hearts (เสริมหน่อยว่า แนวเพลงของวงพังค์ญี่ปุ่น ออกจะต่างไปจากของต้นฉบับทางฝั่งอังกฤษ เพราะแม้จะเน้นความดิบเล่น3คอร์ดเหมือนกัน แต่เพลงพังค์ของญี่ปุ่น เนื้อหามักจะหนักไปทางชีวิตวัยรุ่นเสียมากกว่าการต่อต้านสังคม)
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างออกไปก็คือ พวกเขาผสมผสานความเป็นเพลงป๊อปแบบหวานๆ ทำให้ได้แนวเพลงที่แหวกแนวอิอกมาจากวงอื่น เหมือนการให้ Nina Persson แห่ง The Cardigans มาร้องนำให้กับ The Sex Pistols กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ทำให้เพลงของพวกเขาฟังได้ง่ายกว่าวงพังค์ทั่วไป แต่ก็บวกความก๋ากั๋นเข้าไป ทำให้กลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของวงไป คงเป็นเพราะความเก๋แบบนางแบบของลินดา ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเธอไม่เหมือนสาวหวาน แต่กลับดูเหมือนสาวรักสนุกที่รู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ต้องสนใจเทรนด์ของโลก แต่ทำตามแค่ที่ใจตัวเองอยาก (ทำให้นึกไปถึง Pizzicato Five วงญี่ปุ่นที่แสนจะแนวอีกวง) ส่วนอีกสองหนุ่ม มายะ ก็ปกติหน้าตาเหมือนพนักงานกินเงินเดือน แกก็อุตส่าห์ทาสีหน้า ทำตัวพี้ยนๆ แหกปากไปเรื่อย ส่วนชินโนะสุเกะ ก็ทำหัวทรงเอลวิส แต่งตัวหลุดโลกเช่นกัน แต่ทั้งสามคนก็รวมตัวกันออกมากลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวซะงั้น
จุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่ถ้าได้ลองดูคอนเสิร์ตของวง จะเห็นว่า สมาชิกของวงสลับเครื่องดนตรีกันเล่นเป็นปกติ ลองไปหาอ่านดู ปรากฎว่า พวกเขาเปลี่ยนตำแหน่งกันตามอารมณ์ของวันนั้นๆ อะไรจะอาร์ตแตกขนาดนั้น
พวกเขาออกงานสองชุดแรกกับสังกัดอินดี้ คือ N’Shukugawa Boys ในปี 2009 ซึ่งก็เป็นเพลงในแบบของคงเครื่องสองชิ้นที่ออกจะดิบสด คล้ายกับให้ Yeah Yeah Yeahs ทำเพลงประกอบให้โตเกียวดิสนีย์แลนด์ เพลงเด่นคือ Candy People เพลงป๊อปพังค์ ที่ฟังติดหูกับเสียงลูกแมวของลินดา
ส่วนงานเพลงชุดที่สอง Love Songs ในปี 2010 มีเพลงเด่นอย่าง Monogatari Wa Chito Fuantei (เรื่องราวมันยังไม่แน่นอน) เป็นเพลงดูเอ็ต น่ารักๆของสาวลินดากับหนุ่มมายะ ก่อนที่จะสับเอฟเฟคต์ให้เสียงแตกพร่าและหนุ่มมายะก็แหกปากซะมัน แปลกและสนุกดีจริงๆครับ
หลังจากทำงานอินดี้มาได้สองชิ้น พวกเขาก็ได้ย้ายบ้านไปอยู่ค่ายใหญ่อย่างวิคเตอร์ และได้ปรากฏตัวในหนังเรื่อง Moteki ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนได้ออกอัลบั้มชุดที่ 3 Planet Magic ในปี 2011
ถึงแม้อัลบั้มนี้ จะมีเพลงจริงๆแค่ 8 เพลง (อีก 2 เป็นแค่อินโทร) แต่มันก็ลงตัวเอามากๆ ซิงเกิ้ลแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับอัลบั้ม ช่างแสนจะติดหู มันเหมือนเพลงวงพังค์ต้นยุค 80 ที่ได้เสียงร้องของลินดาที่เปลี่ยนแนวมาร้องแบบเท่ๆจนทำให้นึกไปถึงเพลง 99 Luftballoons ของ Nena ก่อนที่มายะจะออกมาตะโกนเป็นจังหวะ จนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดๆ จังหวะของเพลงช่างชวนให้เราหยิบกุญแจพาสาวคนรักซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยพลัน แต่ช้าก่อน เพราะเพลงต่อมาอย่าง Midnight Angel จะพาคุณพีคในอารมณ์จริงๆ เพราะมันคือเพลงพังค์ที่เหมาะกับการซิ่งมอเตอร์ไซค์เป็นที่สุด ทั้งจังหวะที่ย่ำสม่ำเสมอ กับเสียงกีตาร์ที่ไล่เลียง ราวกับการขับมอเตอร์ไซค์ผ่านใต้แสงไฟถนนที่สาดมาเป็นจังหวะ มันช่างเป็นสวรรค์ของคนชอบซิ่งจริงๆ นอกจากสองเพลงนี้ เพลงอื่นๆในอัลบั้มก็แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Futatsume no Kakumei ที่จังหวะออกจะย้อนยุค เหมือนได้ฟัง The Raveonettes ส่วน MY DEAR GIRL ก็มากับเสียงร้องแบบบลูส์กับจังหวะเรียบๆเท่ๆ ขณะที่ TRY AGAIN ~boys and girls~ ก็เป็นอีกเพลงที่ชวนให้เราออกไปซิ่งจริงๆ
อัลบั้ม Planet Magic แม้จะขาดความดิบสดแบบงานสองชุดที่ผ่านมา และถูกเกลาจนกลายเป็นงานที่ประณีตขึ้นกว่าเดิม แต่มันก็เป็นงานที่ลงตัวมาก จนทำให้รออัลบั้มต่อไปของพวกเขาแทบไม่ไหวแล้วครับ ว่าพวกเขาจะเอาอะไรที่แปลกใหม่มาเสนอเราอีก
No comments:
Post a Comment