ช่วงนี้ ความสุขอย่างหนึงของผมคือ การขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจไปตามท้องถนนในกรุงเทพตอนกลางคืน ซึ่งก็ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์หรููอะไรหรอกครับ แค่ GTO มือสองที่เอามาแต่งแบบเรโทรให้คล้ายกับ Z400 ที่ผมชื่นชอบนั่นเองครับ ซึ่งที่ผมโปรดปรานการซิ่งตอนกลางคืน ไม่ใช่เพราะว่าอยากทำตัวแวนต์หรืออะไร แต่เป็นเพราะว่า อากาศที่เย็นสบาย ถนนที่โล่ง และความสุขของการขับรถมอเตอร์ไซค์ใต้แสงไฟนีออนที่หลงไหลเพราะเพลง Motorcycle Emptiness ที่กรอกหูตัวเองมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพราะมันมีความเหงาแฝงอยู่ในความมืดที่ๆแสงไฟส่องไปไม่ถึงอยู่เสมอ
และการซิ่งตอนกลางคืนกลับทำให้ผมนึกถึงอดีตสมัยอยู่ที่ญี่ปุ่นได้อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งๆที่ผมไม่เคยซิ่งมอเตอร์ไซค์ตอนอยู่ที่นั่นเลยแท้ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่อยู่ที่นั่น ผมปั่นจักยานบ่อยมาก และบางครั้งก็ปั่นเป็นระยะทางไปกลับเกิน 10 กิโล เพื่อที่จะไปหาแฟนเท่านั้นเอง แต่บรรยากาศของการฝ่ายสายลมท่ามกลางแสงไฟตอนกลางคืน คือความสุขที่ผมหลงไหลมาก
พอมานั่งนึกอีกที ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบภาพถ่ายของเมืองในตอนกลางคืนเอามากๆตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น โดยเฉพาะภาพที่มีแสงสว่างจ้าท่ามกลางเมืองที่มืดมิด ผมหลงไหลกับการตัดกันของสองขั้วอย่างชัดเจน มันให้ความรู้สึกที่แปลกมาก เหมือนกันทั้งๆที่สว่าง แต่ในส่วนที่มืด มันซ่อนอะไรอยู่ เราก็ไม่ทราบ มันคือการผสมกันระหว่างสองขั้งที่ตรงกันข้ามจริงๆ น่าเสียดายที่ เมืองของแก่นที่ผมโตมา ในตอนนั้น ยังไม่มีสถานที่ที่ให้ความรู้สึกแบบนี้กับผมได้ แม้แต่ก่อนผมจะชอบปั่นจักรยานเล่นตอนกลางคืน แต่ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกนั้น
จนตอนไปเรียนที่นาโกย่า ญี่ปุ่น ผมถึงได้สัมผัสบรรยากาศที่ผมหลงไหลจริงๆ เวลาที่ผมเดินท่ามกลางใจกลางเมืองนาโกย่าอย่างย่าน ซาคาเอะ มันให้ความรู้สึกแปลกดีจริงๆ ทั้งๆที่เป็นกลางคืนแท้ๆ แต่แสงไฟนีออนจากทุกทิศกำลังฉาบให้เมืองสว่าง มันเป็นเหมือนความพยายามของมนุษย์ที่จะต่อกรกับธรรมชาติ แต่ยิ่งพยายามแค่ไหน ยิ่งฉายแสงเข้าไปแค่ไหน ยิ่งก่อให้เกิดเงามากขึ้นเท่านั้น
และในการต่อสูกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ แสงสว่างและความมืด นั่นล่ะครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความเหงา (แต่ไม่เศร้า) ได้มากที่สุด การได้เดินไปในตัวเมืองอย่าง ซาคาเอะ หรือ นาโกย่าเอคิ ตอนกลางคืน มันผสมผสานความรู้สึกของแสงสีที่ตื่นตา แต่ความมืดที่เศร้าสร้อยเข้าด้วยกัน และเวลาเดินผ่านย่านเหล่านั้นคนเดียว แม้จะจอแจแค่ไหน แต่ถ้าเดินมาคนเดียว มันก็เป็นความโดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร กลับเป็นความสุขแบบเรียบง่ายเสียอีก ทุกวันนี้ ผมยังไม่เคยลืมการเดินลงสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อขึ้นรถเที่ยวสุดท้าย การเดินในย่านการค้าท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บตอนกลางคืน การกลับจากวัดที่ไปขอพรปีใหม่ การเดินผ่านสถานีย่อย NHK ที่ส่องสว่าง หรือย่ามค่ำคืนในชินจุกุ ความทรงจำในค่ำคืนที่มลังเมลืองนั้น สร้างคามสุขให้ผมเป็นอย่างมาก และมองย้อนกลับไป ผมเคยเดินเหงาๆแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจริงๆ ไม่อยากคิดว่า ถ้าได้ซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนในโตเกียวหรือนาโกย่าตอนค่ำคืน จะมีความสุขขนาดไหนกัน
แต่น่าแปลกที่เมื่อผมกลับมาอยู่เมืองไทย และย้ายมาทำงานที่กรุงเทพ เมืองแห่งแสงสีที่ไม่เคยหลับ ผมกลับไม่สามารถรู้สึกอย่างเดียวกันได้ จะว่าเป็นเพราะผมเดินน้อย แต่อาศัยรถยนต์มากกว่า มันก็ไม่ใช่ ผมสังเกตหลายครั้งแล้วว่า แม้จะใช้แสงนีออนเหมือนกัน แต่การตกแต่งก็ต่างกันไปตามรสนิยมของชาตินั้นๆ ในขณะที่ญี่ปุ่น ตึกมักจะเป็นทรงโมเดิร์น โชว์เนื้อปูนสีเทา ไม่ก็ทาสีน้ำตาลอ่อนเรียบๆ ทำให้แสงได้เป็นพระเอกอย่างเต็มที่ แต่บ้านเรา ตึกมีสีสันมากกว่า รูปทรงก็หลากหลายกว่า ทำให้แสงเงาถูกชิงความโดดเด่นไป คงเป็นเพราะรสนิยทในการใช้แสงที่ต่างกันของสองชาติ ทำให้สะท้อนออกมาในการออกแบบอย่างชัดเจนขนาดนั้น ถ้าใครอยากเข้าใจเรื่องความหลงใหลในแสงและเงาของชาวญี่ปุ่น แนะนำให้ลองอ่าน เยิรเงาสลัว ได้ครับ
ย้อนกลับมาที่เมืองไทย อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถรู้สึกแบบที่เคยรู้สึกแบบในญี่ปุ่นได้ คงเป็นเพราะเรื่องของการจัดผังเมือง ถ้ามองญี่ปุ่น คุณจะเห็นการจัดผังเมืองที่ชัดเจน ย่านไหนเป็นย่านการค้า ห้างต่างๆก็จะกระจุกอยู่ในย่านเดียวกัน ซึ่งก็มักจะใกล้สถานีรถไฟ ดังนั้น เวลาไปที่สถานีรถไฟใหญ่ๆในโตเกียว คุณจะได้พบกับแสงสีอย่างที่ไม่รู้เบื่อ ไม่ว่าจะเป็น ชินจุกุ ชิบุยะ หรือ อิเคะบุคุโระ และคุณสามารถเดินคนเดียวเรื่อยๆในย่านนั้นได้
หันกลับมามองกรุงเทพ กลับกลายเป็นว่า เพราะความไร้การจัดการทางผังเมือง กลายเป็นว่า ไม่มีที่ไหนที่คุณจะเดินเล่นไปตามฟุตบาทได้เป็นระยะเวลานานๆ และชมสองข้างทางได้อย่างเพลิดเพลิน ทุกอย่างกระจัดกระจายกันไปหมด ห้างก็อยู่ห่างกัน ไม่ก็ถูกคั่นด้วยสิ่งอื่น โรงแรมก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน ลองไปย่านที่จอแจอย่างสีม จริงอยู่ที่สองข้างทางสว่าง แต่ทางเดินของคุณก็ถูกแย่งไปด้วยแผงขายของสารพัด จนคุณต้องเดินแบบเบียดๆ อย่างทองหล่อ ส่วนที่เป็นไฮไลต์ตอนกลางคืนจริงๆก็แหว่งๆ เพราะว่า ไม่ได้แบ่งพื้นที่ของแหล่งท่องเที่ยวและย่านทำงานอย่างชัดเจน เอาเข้าจริงๆ พื้นที่ที่พอใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมกล่าวถึงมาคือ ย่านราชประสงค์ (ถ้าไม่นับแผงขายของ) และสยาม แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ต่างกันจริงๆครับ
ผมเองก็ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวหลายๆที่ในโลกขนาดนั้น แต่เท่าที่เคยสัมผัสกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง รวมไปถึงการไปเที่ยวยุโรป และฮ่องกง ทำให้ผมรู้สึกว่า เมืองที่มีผังเมืองอย่างชัดเจน มันทำให้เราสามารถเดินได้อย่างมีความสุขกับแสงสีในยามค่ำคืนได้ แม้กระทั่งจะเดินคนเดียวอย่างเหงาๆ แต่การเดินเดียวดายท่ามกลางฝูงชนในเมืองที่ถูกฉาบด่วยแสงสีนั้น ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหรอกครับ ว่าแล้วถ้าได้ไปต่างประเทศครั้งหน้า ก็คงจะหาโอกาสเดินเหงาๆอีกล่ะครับ :)
Manic Street Preachers - Motorcycle Emptiness by FrenchSpyder
No comments:
Post a Comment