Pages

Monday, February 20, 2012

Whitney Houston กับงานแกรมมี่

สองข่าวใหญ่ที่มาแบบติดๆกันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับวงการบันเทิง คงไม่แคล้วข่าวการเสียชีวิตของ Whitney Houston นักร้องหญิงระดับดิวาชื่อดังของวงการ ที่เรียกว่าเป็นการจากไปก่อนวัยอันควรก็ว่าได้ และที่ตามติดกันมาคือ ข่าวการประกาศรางวัล Grammy ของอเมริกา

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Whitney ถูกพบในสภาพเสียชีวิตในอ่างน้ำในโรงแรม เบเวอลีย์ฮิลตัน ที่เธอมาพักเพื่อเตรียมร่วมงานเลี้ยงก่อนงานแกรมมี่ แม้ทีมแพทย์จะพยายามกู้ชีพเธอเป็นเวลาถึง 30 นาที แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร เธอถูกประกาศว่าเสียชีวิตอย่างเป็นทางการในที่เกิดเหตุ การตรวจสอบสภาพศพ ไม่พบร่องรอยการใช้ยาเสพติด คาดว่าเธอหมดสติก่อนที่จะลื่นล้มในห้องอาบน้ำ ปิดชีวิตนักร้องเสียงดีในวัย 48 ปี

whitney-houston-s-funeral-best-moments-videos.img

นักร้องผู้จากไปก่อนวัยอันควร เธอคือนักร้องที่สร้างชื่อจากเสียงร้องระดับเมซโซ โซปราโนที่ทรงพลังของเธอ และมีผลงานที่โด่งดังทั้งในด้านการแสดงควบคู่ไปกับงานเพลง นั่นคือ The Bodyguard ที่เธอทั้งร้องทั้งแสดงเอง กลายเป็นผลงานระดับเพชรบนยอดมงกุฎในชีวิตศิลปินของเธอ จากชีวิตที่ดิ้นรน เป็นนักร้องประกอบให้กับศิลปินคนอื่น จนไปเข้าสายตาค่ายเพลง ด้วยเสียงที่ได้เป็นดังพรสวรรค์ที่บอกว่าเธอเกิดมาเพื่อร้องเพลง แม้ตอนเปิดตัวจะไม่แรง แต่เธอก็สามารถรุ่งเรืองสู่ความสำเร็จได้อย่างงดงามในยุค ’80 จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนในการร้องเพลงธีมโอลิมปิคปี 1998 ที่กรุงโซล และอย่างที่กล่าวไว้คือ งานเพลงและการแสดงภาพยนต์เรื่อง The Bodyguard ที่ดังถล่มทลาย

แต่ในขณะเดียวกัน ชีวิตของเธอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานกับ Bobby Brown ศิลปินที่ถูกมองว่าตกยุคและคิดจะหากินจากความสำเร็จของเธอ การขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยระหว่างเธอกับมารายห์ แครีย์ แล้วดันกลับมาร่วมงานกันในเพลงประกอบภาพยนต์ The Prince of Egypt และการใช้ยาเสพติดอย่างไม่ยั้งจนทำให้ผลงานช่วงหลังของเธอไม่ได้รับคำชม ก่อนจะมาจบชีวิตอย่างไม่คาดฝัน

สำหรับผมแล้ว แม้จะไม่ใช่แฟนเพลงของเธอ แต่ในช่วงที่เริ่มฟังเพลงสากลใหม่ๆ เพลง I Will Always Love You เพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง The Bodyguard ก็คือเพลงที่โด่งดังเอามากๆในตอนนั้น เพราะมันครองอันดับหนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ตในอเมริกา และด้วยความไพเราะของมัน ทำให้ความดังส่งมาถึงเมืองไทย แม้จะไม่ได้ดูตัวภาพยนต์ แต่ก็ไม่พลาดที่จะซื้ออัลบั้มเพลงประกอบเก็บไว้ครับ เพราะว่าตอนนั้น ในแผงเทปที่จังหวัดขอนแก่น อัลบั้มดังกล่าวเรียงเป็นพรืดเต็มแผง แทบไม่แบ่งที่ให้กับอัลบั้มอื่นเลย ใครก็อยากฟังกัน เพราะมันคืองานเพลงที่เรียกได้ว่าไร้ที่ติจริงๆ เป็นงานเพลงที่โชว์พลังเสียงของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการไล่อารมณ์เพลงและภาคดนตรี จนเหมือนมาสเตอร์พีซของวงการเพลงอีกชิ้นหนึ่งก็ว่าได้

532_whitney-houston

แต่หลังจากนั้น คงเป็นเพราะว่างานก่อนหน้าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผลงานที่ตามมาก็เลยเหมือนอยู่ในเงาของเพลงดังกล่าว บวกเข้ากับปัญหาการใช้ยาเสพติด ทำให้ข่าวที่เราได้ยินเสมอๆคือ เธอไม่สามารถทำงานเพลงได้ หรือเธอหมดสภาพแล้ว หนึ่งในความพยายามกลับมาคือ เพลงประกอบภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง The Prince of Egypt ที่เธอถึงกับร้องดูเอ็ตกับศัตรูคู่แค้นของเธอ มารายห์ แครีย์ เล่นเอาแฟนเพลงถึงกับตะลึง และคอยลุ้นปฏิกริยาของทั้งสองคน ซึ่งแค่ดู MV ก็คงพอจะเห็นได้เหมือนกัน นอกจากนี้ ตั้งแต่เข้ายุค 2000 มา ดูเหมือนว่า ดิวา จะเป็นส่วนเกินของวงการเพลง เพราะแทบไม่มีเพลงที่โชว์พลังเสียงที่สามารถทำยอดขายได้ถล่มทลายเหมือนเคย ไม่เพียงแต่เธอ แต่รวมถึงนักร้องหญิงรายอื่นด้วย มารายห์ก็ต้องเปลี่ยนแนวไปเซ็กซี่ ซิลีน ดิออนก็รับงานร้องในคาสิโน กลายเป็นยุคซึมเซาของเหล่าดิวาจริงๆ

การไม่ประสบความสำเร็จในการกลับมาของเธอ ยิ่งทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า และจมดิ่งเข้าไปในวังวนของยาเสพติด หลายคนโทษ Bobby Brown สามีของเธอ แต่เขาก็สวนกลับว่า เขาแค่พาเธอเล่นกัญชา แต่เธอกลับนำเอาโคเคนเข้ามาในชีวิต แต่แม้ทั้งคู่จะหย่าร้างกัน วิทนีย์ก็บอกว่ายังรักเขาอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวเรื่องความสัมพันธุ์แบบรักร่วมเพศของเธออีกด้วย ทั้งหลายประดังประดาเข้าสู่ชีวิตของเธอ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเธอ ขอไว้อาลัยให้กับเสียงที่โดดเด่นที่สุดอีกเสียงหนึ่งในวงการนี้

และด้วยการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของเธอ ทำให้โปรแกรมรายการแกรมมี่อวอร์ดต้องเปลี่ยนแปลงกระทันหันเพื่อไว้อาลัยให้กับเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องกล่าวถึงในงาน Grammy ครั้งนี้คือ การกวาดรางวัลทั้งหมด 6 สาขาที่เข้าชิงของแม่สาว Adele กลายเป็นดาวเด่นแห่งงานไปอย่างสมบูรณ์แบบ

C11702003-15

โดยส่วนตัว ผมค่อนข้างเฉยๆกับงานแกรมมี่มาหลายปี เพราะร้สึกว่าเป็นงานที่น่าเบื่อ ให้รางวัลโดยดูจากยอดขายหรือเพลงฮิตซะมากกว่า แต่ในช่วงหลัง กลายเป็นว่า งาน MTV เสียต่างหากที่เป็นอย่างที่ว่า ในขณะที่งานแกรมมี่กลับกล้ามอบรางวัลให้กับศิลปินฝีมือดี แม้จะไม่ได้ทำยอดขายถล่มทลาย อย่างเช่นที่ The Arcade Fire ได้ในปีก่อน และปีนี้ก็เช่นกัน ที่ศิลปินฝีมือดีอย่าง Adele คว้ารางวัลเหนือเลดี้กาก้า หรือเคธี่ เพอรี่ไปได้อย่างงดงาม กวาดเอาทุกรางวัลที่เธอเข้าชิง แม้ว่าเคธี่ เพอรี่จะทำยอดขายซิงเกิ้ลได้อย่างสูง และที่ทำให้ผมดีใจเอามากๆคือ วงโปรดอย่าง Bon Iver ได้รางวัลศิลปินหน้าใหม่ (แม้จะไม่ได้ใหม่จริงๆ) เหนือ นิคกี้ มินาจ ที่โด่งดังกว่า เรียกได้ว่า รางวัลแกรมมี่กลับมาพิจารณาผลงานอย่างจริงจังมากกว่าแต่ก่อนจริงๆ แต่ที่ทำให้ผมงงที่สุด คงเป็นความ ignorant ของอเมริกันชนรุ่นใหม่ ที่กลายเป็นกระแสบนทวิตเตอร์ว่า ใครคือ พอล แมคคาธนีย์ ที่ได้รางวัล Person of the Year และ Best Historical อัลบั้ม เล่นเอาหมดคำพูดเลยทีเดียวครับ แต่เท่าที่ดูแล้ว งานแกรมมี่สามารถดึงความสนใจจากคนชอบฟังเพลงกลับมาได้ไม่มากก็น้อยครับ

No comments:

Post a Comment