Sunday, February 23, 2014

Kendrick Lamar ดาวฮิพฮอพดวงใหม่

สัปดาห์ก่อนผมเขียนถึง Pusha T หนึ่งในศิลปินฮิพฮอพรุ่นใหม่ที่มาแรง และเมื่อพูดถึงศิลปินฮิพฮอพหน้าใหม่มาแรงแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะกล่าวถึงชายคนนี้ เขาคือคนที่ถูกจับตามองมากที่สุด และเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึง 7 สาขา แต่กลับแห้วไปหมดแบบที่เป็นที่โจษจัน เพราะกระแสสังคมมองว่าเขาควรได้แน่ๆ ขนาดที่ผู้ขนะยังขอโทษเขาและบอกว่าเขาเหมาะกับรางวัลมากกว่า แรปเปอร์หนุ่มที่มาแรงที่สุดในตอนนี้คือ Kendrick Lamar

kendrick-lamar-coming-to-south-africa

Kendrick Lamar (เคนดริค) หนุ่มน้อยที่พ่อแม่มาจากชิคาโก แต่ย้ายมาอยู่ที่ Compton ในแคลิฟอร์เนีย ที่เขาเติบโตขึ้นมา และถ้าเอ่ยชื่อเมืองนี้ คงไม่ต้องสงสัยสำหรับแฟนฮิพฮอพ ว่ามันมีความสำคัญแค่ไหน เพราะมันคือหนึ่งในเมืองที่เป็นเหมือนตักสิลาของดนตรีฮิพฮอพตั้งแต่ยุค 80 และเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานแกงสเตอร์แร๊พอย่าง NWA รวมไปถึงการเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแก็งสารพัดสารพันที่พร้อมจะห้ำหั่นกันได้ทุกเมื่อ ในเมืองที่โหดไม่น้อยเช่นนี้ เป็นเรื่องง่ายมากที่เด็กผิวสีซักคนจะเดินไปบนเส้นทางของนักเลง แต่โชคดีที่ Kendrick ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจาก Dr. Dre และ Tupac เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังถ่ายทำ MV เพลง California Love ใน Compton และนั่นก็ได้ทำให้เขาหลงใหลในดนตรี และเขาก็ยังเป็นนักเรียนที่ทำคะแนนได้ดีอีกด้วย

และตั้งแต่ช่วงเขาอายุ 16 ก็เริ่มทำผลงานเพลงออกมิกซ์เทปด้วยตัวเอง ซึ่งมิกซ์เทปในวัฒนธรรมฮิพฮอพ ไม่ได้หมายถึงการเอาเพลงมายัดๆใส่กัน แต่จะหมายถึงอัลบั้มรวมเพลงที่ปล่อยออกมาก่อนเพื่อโปรโมทศิลปินหน้าใหม่ก่อนที่จะออกผลงานเต็มตัวเป็นชิ้นเป็นอัน อาจจะมีเพลงเด่นซักเพลง แล้วเติมด้วยเพลงของคนอื่น หรือรีมิกซ์เพลงตัวเอง เป็นแนวทางที่ศิลปินฮิพฮอพขอบทำ และความเด่นของผลงานเขาก็ไปเข้าตาค่ายฮิพฮอพอินดี้ จนได้สัญญาเข้าเป็นศิลปิน ซึ่งตอนนั้นเขายังคงใช้ชื่อว่า K-Dot อยู่

เมื่อมีค่าย เขาก็ได้ออกมิกซ์เทปออกมาอีกชุดชื่อ Training Days ในปี 2005 และได้ร่วมแจม เล่นเปิดให้กับรุ่นพี่ฝั่งเวสต์โคสต์อย่าง The Game รวมไปถึงไปฟีเจอริ่ง (ในความหมายจริงๆ ไม่ใช่แบบเกิร์ลลี่เบอรี่) กับ The Game อีกด้วย จึงเป็นการปูทางให้กับอนาคตของเขาได้อย่างดี ในปี 2009 เขาออกมิกซ์เทป C4 ซึ่งได้อิทธิพลจากอัลบั้ม Tha Carter III ของ Lil Wayne และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ทิ้งชื่อ K-Dot และหันมาใช้ชื่อจริงในวงการเพลงแทน

เส้นทางของเขาเริ่มโดดเด่นขึ้นเรื่อยเมื่อออกมิกซ์เทปชุดแรกหลังจากเปลี่ยนชื่อในวงการ Overly Dedicated เป็นอัลบั้มที่ปล่อยให้โหลดฟรีในปี 2010 และมันได้รับความนิยมอย่างล้นหลามถึงขนาดขึ้นไปติดชาร์ตเพลงฮิพฮอพได้เลยทีเดียว (ถ้าโหลดคิดเงินจะติดที่เท่าไหร่กัน) และเพลงเด่น Ignorance is Bliss ก็ไปเข้าตาโคตรโปรดิวเซอร์อย่าง Dre ถึงขนาดที่ถูกตามตัวเข้าค่ายเพลงเลยทีเดียว

Kendrick-Lamar-in-Amsterdam-by-Merlijn-Hoek

แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าค่ายของ Dre และออกงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกกับค่ายอินดี้ค่ายแรกของเขาก่อน ซึ่งมันคือ Section. 80 และเป็นงานที่ได้รับคำชมอย่างสูง นักวิจารณ์เพลงทั้งหลายต่างยกให้เขาเป็นแรปเปอร์ที่มาแรงระดับท็อป และงานชุดนี้ทำให้เขาได้ไปร่วมงานกับตำนานฝั่ง East Coast อย่าง RZA แห่ง Wu-Tang Clan อีกด้วย จุดที่พีคมากๆของเขาคงเป็นตอนที่ขึ้นเวทีร่วมกับศิลปิน West Coast รุ่นพี่ Dre, Snoop Dogg และ The Game และทั้งสามยกให้เขาเป็น ราชาแห่งเวสต์โคสต์ฮิพฮอพ คนใหม่ คนระดับนี้รับประกันแล้ว แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอนครับ และเขาก็สร้างชื่อต่อด้วยการไปโผล่ฟีเจอริ่งให้กับศิลปินดังอีกหลายราย

และในที่สุด เขาก็เซ็นสัญญากับค่าย Aftermath ของ Dre กลายเป็นเด็กในสังกัด ซึ่ง Dre ได้ปั้นจนได้ดิบได้ดีมาหลายต่อหลายรายแล้ว และตลอดปี 2012 เขาก็มุ่งมั่นกับการผลิตอัลบั้มแรกตั้งแต่เซ็นเข้าค่ายเมเจอร์ของเขา จนคลอดออกมาในช่วงปลายปี 2012 นั่นเองในชื่อว่า good kid, m.A.A.d city ซึ่งมันถูกโปรดิวซ์โดยมือทองของวงการทั้งหลาย นอกจาก Dre แล้วยังมี Pharrell Williams, Just Blaze และ DJ Khali เป็นต้น คงพูดได้ว่าถ้าจะหาอัลบั้มฮิพฮอพที่ผู้คนเฝ้ารอฟังขนาด good kid, m.A.A.d city

good kid, m.A.A.d city อัดแน่นไปด้วยเพลงคุณภาพสมกับที่ทุกคนเฝ้ารอ แม้มันจะไม่ใช่เพลงฮิพฮอพที่รวดเร็วเร้าใจชวนเข้าคลับไปเต้นรำแบบที่หลายๆคนชอบทำ แต่มันแน่นด้วยจังหวะที่หนักและเนิบ บวกกับแร็พที่ไหลลื่นของเขาทำให้มันเป็นอัลบั้มเด่นได้ทันที ซิงเกิ้ลแรกที่ร่วมงานกับ Dre ได้บอกเราชัดเจนว่าจะได้เจอกับอะไร สไตล์ของเขาเหมาะกับคำว่าเวสต์โคสต์ยุคใหม่จริงๆ น่าเสียดายที่มันไม่ถูกนำไปรวมในอัลบั้มเวอร์ชั่นปกติ แต่เพลงอื่นก็ยังแน่นครับ Poetic Justice ที่ร่วมงานกับ Drake ก็ทำให้เรานึกถึงยุครุ่งเรืองของฮิพฮอพช่วง 90 ขณะที่ Bitch don’t kill my vibe ก็เป็นเพลงช้าๆที่น่าจะทำให้เราได้ชิลในคลับ ขณะที่ The Art of Peer Pressure เพลงที่จังหวะเยือกเย็น ไหลร่วมไปกับเนื้อเพลงของกบฏหนุ่มที่ท้าทายกับอิทธิพลจากรอบข้าง เยี่ยมครับ แต่เพลงที่เป็นทีเด็ดปิดเกมของอัลบั้มนี้คงต้องขอยกให้ Swimming Pools (Drank) ที่นอกจากจังหวะจะติดหูแล้ว การแร็พของเขามันช่างรวดเร็วและลื่นไหลอย่างไร้รอยสะดุด จนเราทึ่งว่าหนุ่มอายุรุ่น 20กลางๆเท่านี้ช่างมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศขนาดนี้ สมแล้วครับที่ทุกคนจะยกให้เขาเป็นแรปเปอร์ที่มาแรงที่สุดแห่งยุค

น่าเสียดายที่กรรมการแกรมมี่ไม่เข้าใจ และไปยกรางวัลให้กับ Macklemore ที่ผมฟังยังไงก็แค่เพลงพ๊อพเจอฮิพฮอพเท่านั้น (ขอโทษถ้าใครไม่ถูกใจ) แต่นึกอีกทีก็อาจจะคล้ายกับมุกในการ์ตูนแสบ Chozen ที่บอกว่า ไม่มีศิลปินฮิพฮอพผิวสีแคร์กับรางวัลแกรมมี่หรอก ยกเว้นแต่ Kanye แต่ คิดแล้วก็ยังเสียดายแทนเขานะครับ มองโลกในแง่ดี Kendrick Lamar ยืนระยะได้แน่ ในขณะที่ผู้ชนะในปีนี้อย่าง Macklemore นี่จะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน

1 comment:

allaboutmusicthailand said...

เสียดายเรื่องGrammyเหมือนกันครับ ไม่น่าเลย :(